สโมสร ลิเวอร์พูล กำลังจะก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยหลังจากวันที่ 30 มิถุนายนนี้สัญญาของ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้อำนวยการสโมสรจะหมดลงพร้อมกับการสิ้นสุดเส้นทางการทำงาน 11 ปีในถิ่น แอนฟิลด์
ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดเวลาที่เขาอยู่กับทีม หงส์แดง นี่คือบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิวัติสโมสรให้กลับมาเป็นทีมชั้นนำของอังกฤษและยุโรปอีกครั้ง หลังจากที่ต้องใช้ชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาตลอดกว่า 3 ทศวรรษนับตั้งแต่ผ่านพ้นยุค 80 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา
จุดเริ่มต้นของ เอ็ดเวิร์ดส์ มาจากการได้รับโอกาสให้ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ของ ลิเวอร์พูล หลังการเข้าเทคโอเวอร์สโมสรของกลุ่ม FSG หรือเฟนเวย์สปอร์ตกรุ๊ปของมหาเศรษฐี จอห์น เฮนรี จากสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2011 และเขาก็ได้สร้างความประทับใจให้กับเจ้าของใหม่ด้วยการปรับโครงสร้างและการจัดการแผนกวิเคราะห์ด้านฟุตบอล แผนกวิจัย และงานแมวมองของทั้งทีมชุดใหญ่และชุดเยาวชน
จากนั้นเจ้าตัวก็ใช้เวลาเพียง 18 เดือนในการเข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องของการซื้อขายและการดีลกับเอเยนต์ของนักเตะเคียงข้าง เอียน อายร์ ที่ตอนนั้นยังนั่งในตำแหน่งประธานฝ่ายบริหารหรือ ซีอีโอ ของสโมสร ซึ่งเขาก็ช่วยให้หลายดีลประสบความสำเร็จไปด้วยดี
เอ็ดเวิร์ดส์ มีส่วนสำคัญในการช่วยดึงนักเตะเก่ง ๆ ที่ยังโนเนมเข้ามาสู่ทีม ยกตัวอย่างการคว้าตัว โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน มาจาก ฮอฟเฟนไฮม์ ด้วยเงิน 29 ล้านปอนด์เมื่อปี 2015 ซึ่งเชื่อว่าแฟนบอลหลายคนคงทำหน้าสงสัยว่าหมอนี่เป็นใคร แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้รู้ว่านี่คือความคุ้มค่ามหาศาลที่หาอะไรมาทดแทนไม่ได้
รูปแบบการทำงานในช่วงเวลาดังกล่าวมีการตั้งคณะกรรมการซื้อขายหรือ The Transfer Committee ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นทีมงานซื้อขายหรือ Transfer Team ที่ถือเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของ ลิเวอร์พูล ในช่วง 10 ปีหลัง โดยมี เดฟ ฟาลโลว์ ผู้อำนวยการทีมแมวมองทำงานร่วมกับหัวหน้าแมวมองอย่าง แบร์รี ฮันเตอร์ ในขณะที่นักวิเคราะห์วัย 30 ปลายจะประจำการอยู่ที่ เมลวู้ด เพื่อรับเรื่องและรายงานตรงต่อ ไมค์ กอร์ดอน ประธานของ FSG โดยลักษณะการทำงานเช่นนี้ทำให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม, ในเวลาดังกล่าว ลิเวอร์พูล ยังไม่มีตำแหน่งผู้อำนวยการด้านกีฬา เนื่องจากตอนที่พวกเขาดึง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม เจ้าตัวได้ยื่นคำขาดว่าจะขอดูแลเรื่องการซื้อขายทั้งหมดด้วยตัวเองภายใต้การทำงานร่วมกับทีมงานซื้อขายที่มี เอ็ดเวิร์ด คอยประสานงานช่วยเหลืออยู่
หากแต่เมื่อ บีร็อด ไม่สามารถพาทีมไปถึงเป้าหมายที่หวังเอาไว้ได้ เยอร์เก้น คล็อปป์ จึงถูกดึงเข้ามาแทนที่ในเดือนตุลาคมปี 2015 และในเดือนพฤศจิกายนปี 2016 กลุ่ม FSG ก็ได้จัดการโปรโมท ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ขึ้นมาทำหน้าที่ผู้อำนวยการด้านกีฬาคนแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรอย่างเต็มตัว
ช่วงเวลา 13 เดือนที่ร่วมงานกับ คล็อปป์ ผอ.หนุ่มได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญและความเก่งกาจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งการมีความเห็นพ้องต้องกันกับอดีตเฮดโค้ช ดอร์ทมุนด์ ในเรื่องของปรัชญาฟุตบอลที่ต้องการสร้างทีมเพื่อประสบความสำเร็จในอนาคตอย่างยั่งยืน และนั่นจึงเป็นที่มาของการซื้อขายที่ยอดเยี่ยมในหลาย ๆ ครั้ง
ด้วยรูปแบบการสร้างทีมที่ชัดเจนของนายใหญ่เยอรมัน เขาได้ถ่ายทอดสิ่งนี้ให้กับ เอ็ดเวิร์ดส์ และร่วมกันก่อร่างสร้าง ลิเวอร์พูล ในแบบที่ต้องการ โดยทีมซื้อขายจะรับนโยบายจาก คล็อปป์ เพื่อมองหานักเตะที่เขาอยากได้หรือที่ต้องการอยากจะขายออกจากทีม จากนั้นก็จะดำเนินการเจรจากับเอเยนต์และสโมสรต้นสังกัดรวมทั้งของผู้เล่นรายนั้นรวมทั้งสโมสรปลายทางเพื่อทำการบรรลุข้อตกลงและปิดดีล
ผลงานของ เอ็ดเวิร์ด จึงโดดเด่นอย่างมากในช่วงที่ คล็อปป์ เป็นผู้จัดการทีม เขาสามารถช่วยให้สโมสรคว้าตัว โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มาจาก โรมา ด้วยค่าตัวที่ไม่ถึงครึ่งของ แฮร์รี แม็คไกวร์ โดยเข้ามาประสานงานกับ ซาดิโอ มาเน ที่ย้ายมาก่อนหน้านี้ 1 ฤดูกาล และเมื่อรวมกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน ที่อยู่ในทีมอยู่แล้วก็ทำให้เกิด 3 ประสานสะท้านยุโรปภายใต้รหัส SMF และนำความสำเร็จอย่างมากมายมาสู่ทีม
รวมทั้งการปิดดีลกองหลังและผู้รักษาประตูอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ด้วยเงิน 140 ล้านปอนด์ ซึ่งทั้งคู่ได้รับการยอมรับว่านี่คือผู้เล่นที่ดีที่สุดในตำแหน่งของพวกเขา ณ ปัจจุบัน และในรายของ ฟาบินโญ ที่ซื้อมาจาก โมนาโก ด้วยค่าตัวเพียง 43.7 ล้านปอนด์ ทั้ง ๆ ที่ตกเป็นเป้าหมายของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ในเวลานั้น
เอ็ดเวิร์ดส์ ไม่ได้เก่งแค่การซื้อนักเตะโดน ๆ เข้าสู่ทีม การขายผู้เล่นฟันกำไรให้กับสโมสรเขาก็ทำมานักต่อนัก ทั้งพวกดาวรุ่งที่กำลังสร้างชื่อเสียงแต่ไม่มีที่ยืนในทีมชุดใหญ่อย่าง โดมินิค โซลันกี้ ที่ย้ายไปเล่นให้ บอร์นมัธ ด้วยราคา 19 ล้านปอนด์ ทั้ง ๆ ที่ดึงมาจาก เชลซี ในราคาเพียง 5 ล้าน หรือที่ในเดือนตุลาคม 2020 กับการปล่อย ริอาน บรูวสเตอร์ เด็กปั้นของสโมสรให้กับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ได้ในราคาสูงถึง 23.5 ล้านปอนด์
รวมทั้งพวกแข้งที่ไม่ได้อยู่ในแผนงาน ไล่มาตั้งแต่ มามาดู ซาโก้ ที่เลหลังให้ คริสตัล พาเลซ ได้ถึง 26 ล้านปอนด์ ตามมาด้วย คริสติยอง เบนเตเก้ ที่ย้ายตามไปสมทบด้วยค่าตัว 32 ล้านปอนด์ซึ่งเป็นราคาที่พอ ๆ กับตอนที่ซื้อมาจาก แอสตัน วิลลา (32.5 ล้านปอนด์) เลยทีเดียว
แต่ที่ทำให้โลกจดจำได้มากที่สุดเห็นจะเป็นการขาย ฟิลิปเป้ คูตินโญ ให้กับ บาร์เซโลนา เมื่อปี 2018 ในราคา 142 ล้านปอนด์ และกลายเป็นว่านักเตะไม่สามารถแจ้งเกิดกับทีมใหม่ได้ ในขณะที่ ลิเวอร์พูล ก้าวไปเป็นแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2019 และแชมป์ พรีเมียร์ลีก 2020 โดยไร้เงาพ่อมดน้อยรายนี้
แต่ที่ทำให้โลกจดจำได้มากที่สุดเห็นจะเป็นการขาย ฟิลิปเป้ คูตินโญ ให้กับ บาร์เซโลนา เมื่อปี 2018 ในราคา 142 ล้านปอนด์ และกลายเป็นว่านักเตะไม่สามารถแจ้งเกิดกับทีมใหม่ได้ ในขณะที่ ลิเวอร์พูล ก้าวไปเป็นแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2019 และแชมป์ พรีเมียร์ลีก 2020 โดยไร้เงาพ่อมดน้อยรายนี้
นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของความสำเร็จที่ เอ็ดเวิร์ดส์ ได้สร้างเอาไว้ที่ถิ่น แอนฟิลด์ ก่อนที่เจ้าตัวจะประกาศอำลาทีมเมื่อปลายปีก่อน โดยสัญญาจะหมดลงในวันที่ 30 มิถุนายนที่กำลังจะมาถึง
มีข่าวว่าทั้ง เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างต้องการตัว ผอ.กีฬารายนี้ไปร่วมงานด้วย แต่เจ้าตัวยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเดินไปในเส้นทางใด ในขณะที่ หงส์แดง ดัน จูเลียน วอร์ด ขึ้นมาทำหน้าที่แทนและเดินหน้าสร้างทีมใหม่หลังจากที่มีการต่อสัญญา เยอร์เก้น คล็อปป์ ไปเมื่อช่วงท้ายฤดูกาลเป็นที่เรียบร้อย
แม้หลังจากนี้จะไม่มีชื่อของ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ บนทำเนียบผู้บริหารของ ลิเวอร์พูล แล้วก็ตาม แต่เชื่อว่ารากฐานอันแข็งแกร่งที่เขาได้ร่วมสร้างเอาไว้นั้นจะยังคงทำให้ ลิเวอร์พูล เป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จต่อจากนี้ไปอีกหลายปี