ความพ่ายแพ้ยับเยินต่อ นาโปลี 4-1 ในศึก UCL นัดแรกของรอบแบ่งกลุ่มนั้น ถือเป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับทีมที่เพิ่งเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเมื่อปีที่แล้วอย่าง ลิเวอร์พูล
เอาจริง ๆ การไปเยือนถิ่น ซาน เปาโล แล้วแพ้ออกมาไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเมื่อ 2 ซีซันก่อนพวกเขาก็อยู่ร่วมสายกับทีมจากเนเปิ้ลส์ และประเดิมนัดแรกในรอบแบ่งกลุ่มด้วยการไปเยือนที่อิตาลี และก็พ่ายกลับออกมาแบบเมื่อคืน
สถิติของ หงส์แดง ในการไปเยือน นาโปลี เรียกว่าไม่ดีก็ไม่ถูกนัก ต้องเรียกว่า “ขี้เหร่สุด ๆ” เพราะพวกเขาไม่เคยคว้า 3 คะแนนกลับบ้านได้เลยแม้แต่เกมเดียว แถมในการเจอกัน 5 นัดหลังสุดทุกที่ทุกรายการ หงส์แดง เก็บชัยไปได้แค่เกมเดียวเท่านั้น
โดยเฉพาะกับสภาพทีมในปัจจุบันที่พิกลพิการแบบนี้ การลงเล่นกับทีมที่เต็มไปด้วยคนหนุ่มของ ลูเซียโน สปาเล็ตติ จึงเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
และสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็เป็นไปตามสภาพจริง ๆ เพราะ ลิเวอร์พูล ยังคงออกสตาร์ทแบบมึน ๆ อึน ๆ เหมือนคนยังไม่ตื่นนอน, ในขณะที่ นาโปลี ดูมุ่งมั่น คึกคัก กระหายในชัยชนะมากกว่า และพวกเขาก็ส่งสัญญาณเตือนตั้งแต่ต้นเกม โดยเฉพาะ วิคเตอร์ โอซิมเฮน ที่ฉีกกองหลังทีมเยือนกระจุย….นับตั้งแต่นาทีแรก
รูปเกมในช่วง 45 นาทีแรกของลูกทีม เยอร์เก้น คล็อปป์ คือหายนะอย่างแท้จริง พวกเขาทำเกมของตัวเองไม่ได้ การเล่นเต็มไปด้วยความผิดพลาดแทบจะทุกตำแหน่ง โดนแนวรุกเจ้าบ้านฉีกเป็นชิ้น ๆ นาทีแล้วนาทีเล่า แท็คติกการดันหลังสูงหรือ “High Line” ที่เคยดักล้ำหน้าคู่แข่งได้มานักต่อนักโดนทำลายด้วยการชิงจังหวะของ โอซิมเฮน, มัตเตโอ โปลิตาโน, ควิชา ควาราทชเคเลีย และ ปิเอโตร เซลินสกี้ โดยเฉพาะรายหลังที่ทำหน้าที่เพลย์เมคเกอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จุดอ่อนที่เด่นชัดในเกมนี้คือแดนกลางที่ไร้ซึ่งไดนามิก มีเพียง ฟาบินโญ คนเดียวที่พยายามแบกเกมกลางสนาม เจมส์ มิลเนอร์ เล่นพลาดหลายช็อตในครึ่งแรกก่อนจะมาพอประคองตัวได้ในครึ่งหลัง ในขณะที่ ฮาร์วีย์ เอลเลียต นั้นยังต้องเรียนรู้การเป็นมิดฟิลด์ในแบบของ เยอร์เก้น คล็อปป์ อีกมาก
ซีซันก่อนที่ เดอะเร้ดส์ เล่นได้อย่างแข็งแกร่งก็มาจากการขับเคลื่อนเกมจากกลางสนาม เราจำภาพของ ติอาโก้, ฟาบินโญ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กันได้ดี นี่คือ 3 ประสานที่ลงตัวที่สุด แต่ ณ เวลานี้ด้วยวัยและสังขารทำให้พวกเขายังไม่มีโอกาสลงเล่นด้วยกันเลย
เมื่อแดนกลางยวบ การขึ้นเกมในแดนหน้าก็สะดุด เกมริมเส้นที่เคยเป็นจุดเด่นก็หายไปจากสารบบ ฟูลแบ็คทั้งสองข้างกลายเป็นจุดบอด เทรนท์ อาร์โนลด์ ครึ่งแรกโดนเผา แย่ทั้งเกมรุกและรับ แม้ว่าครึ่งแรกจะมีบทบาทในเกมรุกมากขึ้นก็ตาม ในขณะที่ โจ โกเมซ คือบ่อน้ำมันชั้นดีให้คู่แข่งเจาะเข้าทำ การดวลตัวต่อตัวที่เป็นจุดเด่นของเซ็นเตอร์รายนี้ กลับกลายเป็นความผิดพลาดจนทำให้ทีมเสีย 2 ประตูในครึ่งแรก สุดท้ายต้องโดนเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่ง
เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ปีนี้ฟอร์มตก แถมโดนวิจารณ์ว่ายังมีภาพฝังใจจากอาการบาดเจ็บเมื่อ 2 ปีก่อน แต่เกมนี้เขาพยายามแบก โกเมซ อย่างสุดความสามารถ ซึ่งมันก็ไม่ได้ผล เจ้าตัวเองก็มีช็อตหลุดออกมาเรื่อย ๆ ที่ชัดเจนคือการทำฟาวล์จนเสียจุดโทษที่ 2 ตั้งแต่ต้นครึ่งแรก เห็นชัดเลยว่าเขาต้องการคู่ขาที่ดีกว่านี้
แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน คือคนที่น่าจะถูกวิจารณ์น้อยที่สุด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความผิดพลาดเลย เจ้าตัวพยายามชดเชยส่วนนี้ด้วยการประสานงานกับ หลุยส์ ดิอาซ ให้มากขึ้นในครึ่งหลัง จนนำมาซึ่งประตูตีไข่แตก แต่นั่นก็เป็นช่วงที่ นาโปลี ผ่อนเกมเพื่อแพ็คเกมรับไปแล้ว
3 ประสานในแดนหน้า ดีที่สุดคือ หลุยส์ ดิอาซ ที่เกมนี้พยายามทำทุกอย่างทั้งเลี้ยงลุย ทั้งช่วยเกมรับ และยิงตีไข่แตกได้ โม ซาลาห์ ดร็อปลงไปมากหลังต่อสัญญา ส่วน ฟีร์มีโน มีโอกาสยิงเพียงครั้งเดียว นอกนั้นก็แทบหายไปจากเกม
เมื่อดูจากฟอร์มการเล่นและสกอร์ที่ออกมา ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลย เป็น นาโปลี มากกว่าที่อาจจะรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถยิงลูก 5- 6 ได้
ยังมีคำถามเรื่องหัวจิตหัวใจของนักเตะ ลิเวอร์พูล ชุดนี้ด้วย การออกสตาร์ทเกมที่ขาดความกระตือรือร้น การปล่อยให้คู่แข่งลากบอลผ่านไปแบบสบาย ๆ ภาษากายที่เห็นได้ชัดเจนตอนทีมโดนยิงประตู สิ่งเหล่านี้คือภาพสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นภายในทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้เป็นอย่างดี
จะบอกว่าตอนนี้ หงส์แดง เข้าสู่ช่วง “วิกฤติโดยสมบูรณ์แบบ” แล้วก็ว่าได้ พวกเขาไม่ใช่ทีมเดิมเหมือนเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาการลุ้นแชมป์อาจจะเหลือแค่การประคองตัวให้จบฤดูกาลก่อนจะผลัดใบสู่ยุคใหม่ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอีกซักระยะ
ตอนนี้ หากจะกอบกู้ความเชื่อมั่นก็ต้องรีบดึงสติกลับมาและเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน ในเกมสุดสัปดาห์นี้ที่ แอนฟิลด์ ให้ได้ มิเช่นนั้นทุกอย่างอาจจะสายเกินแก้