เกมรอบรองชนะเลิศ เอฟเอคัพ ที่ ลิเวอร์พูล สามารถเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้น บางคนอาจจะบอกว่าทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ มีโชคกว่าคู่แข่งในเรื่องของโปรแกรมการแข่งขัน
ก่อนจะลงปะทะกันในแม็ตช์นี้ทั้ง หงส์แดง และ เรือใบสีฟ้า ต่างต้องลงเล่นใน ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายเลกที่ 2 ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่อการจัดทีมใน เอฟเอคัพ อย่างไม่ต้องสงสัย
ในการเจอกับ เบนฟิก้า, เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถเปลี่ยนทีมได้ถึง 7 ตำแหน่งจากเกมที่เสมอกับ ซิตี้ ที่ เอติฮัด เมื่อวันอาทิตย์ก่อน เนื่องจากผลการแข่งขันในเลกแรกนั้นค่อนข้างจะได้เปรียบจากการบุกไปเอาชนะได้ 3-1 ดังนั้นขอแค่ประคองตัวในเกมเลก 2 ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามเป้าหมาย
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นเมื่อ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเสมอกับผู้มาเยือน 3-3 แต่ก็มิวายถูกวิจารณ์เรื่องสมาธิในเกมรับที่หละหลวมจนทำให้ถูกตีเสมอในช่วงท้ายเกม และนายใหญ่ชาวเยอรมันก็ยอมรับความผิดพลาดดังกล่าว
ในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ งานหนักกว่าเพราะต้องออกไปเยือน แอตเลติโก้ มาดริด โดยผลการแข่งขันแม้ว่าในนัดแรกพวกเขาได้เปรียบอยู่นิด ๆ จากการเอาชนะมาได้ 1-0 แต่ก็การมาเล่นที่ มาดริด นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเก็บชัยชนะออกไป
ดังนั้น มันจึงเป็นไฟท์บังคับให้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ต้องจัดทัพแบบเต็มสูบแม้ว่าจะเพิ่งลุยเกมหนักกับ ลิเวอร์พูล มาก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน ซึ่งท้ายที่สุดพวกเขาก็ทำได้ตามเป้าหมาย แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคืออาการบาดเจ็บของนักเตะตัวหลักอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ และ ไคล์ วอล์คเกอร์
และเมื่อทั้งคู่มาเจอกันใน เอฟเอคัพ เราจึงได้เห็น เป๊ป ส่งแข้งสำรองหลายรายลงสนามในขณะที่ ลิเวอร์พูล จัดเต็มทุกตำแหน่ง
ส่วนหนึ่งจะบอกว่า หงส์แดง โชคดีที่เจอโปรแกรมที่ไม่แข็งมากก็อาจจะใช่ เพราะทีมจากโปรตุเกสคงไม่สามารถเทียบอะไรได้กับแชมป์ ลาลีก้า เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่การมองเช่นนี้เป็นการมองเพียงผิวเผิน, อย่าลืมว่าใน 1 ฤดูกาล คุณไม่มีทางได้เจอกับคู่แข่งหมูตู้ในทุกรายการเสมอไป
ถ้าจำไม่ผิดในรอบแบ่งกลุ่ม UCL หงส์แดง อยู่ในกลุ่ม “กรุ๊ปออฟเดธ” ที่มีทั้ง แอตฯ มาดริด, เอซี มิลาน และ ปอร์โต้ ส่วน ซิตี้ อยู่ร่วมกลุ่มกับ เปแอชเช, คลับ บรูกก์ และ อาร์เบ ไลป์ซิก แต่ทีมของ คล็อปป์ สามารถเก็บชัยชนะรวด 6 นัดในขณะที่ เป๊ป ชนะ 5 แพ้ 1 ซึ่งทั้งคู่ก็เข้ารอบมาเป็นที่ 1 ของกลุ่มเหมือนกัน
พอมาเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ซิตี้ เจอคู่แข่งอย่าง สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในขณะที่ เดอะเร้ดส์ ต้องบดกับ อินเตอร์ มิลาน แชมป์ กัลโช เซเรีย อา เมื่อซีซันที่แล้ว ก่อนที่จะจับสลากมาเจอกับ แอตเลติโก้ มาดริด และ เบนฟิก้า ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
ส่วนใน เอฟเอคัพ ก็เจอคู่แข่งที่ง่ายและยากสลับกันไป ไม่มีใครผ่านเข้ามาเล่นในรอบนี้แบบชิล ๆ
ดังนั้น สิ่งที่ทำให้เกมเมื่อคืนออกมาเป็นแบบนี้ก็เพราะเรื่องของจังหวะเวลาหรือ “Timing”
จริงอยู่ที่ ซิตี้ โชคไม่ดีที่ต้องมาเจอโปรแกรมโหดอย่าง ลิเวอร์พูล – แอตฯ มาดริด – ลิเวอร์พูล ในขณะที่ลูกทีมของ คล็อปป์ งานเบากว่าเพราะมี เบนฟิก้า มาคั่นกลาง ทำให้พวกเขาไม่สามารถมีทีมที่สมบูรณ์ใน เอฟเอคัพ ได้ ผลการแข่งขันจึงออกมาอย่างที่เห็น
อย่างไรก็ตาม, ชัยชนะของ ลิเวอร์พูล ก็ยังไม่ได้การันตีอะไรนอกจากการมีลุ้นอีก 1 ถ้วย เพราะหลังจากนี้ใน พรีเมียร์ลีก พวกเขาก็ต้องเจอกับงานหนักด้วยการเปิดบ้านต้อนรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึกแดงเดือด รอบ 2 ของซีซัน ส่วน ซิตี้ เล่นใน เอติฮัด พบกับ ไบรท์ตัน ซึ่งถ้าเทียบดีกรีกันแล้วปีศาจแดงที่กำลังลุ้นอันดับ 4 น่าจะเป็นงานหนักมากกว่าเจ้านกนางนวลที่รอดตกชั้นแบบสบาย ๆ ไปแล้ว
แถมเมื่อเหลือบไปมองโปรแกรมที่เหลือดูเหมือนว่าทีมของ เป๊ป จะได้เปรียบนิด ๆ เพราะเจอคู่แข่งอย่าง วัตฟอร์ด, ลีดส์, นิวคาสเซิล, เวสต์แฮม และปิดซีซันด้วยการต้อนรับ แอสตัน วิลลา ของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ในขณะที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องพาทีมลุยกับ เซาแธมป์ตัน, เอฟเวอร์ตัน, นิวคาสเซิล, สเปอร์ส, วิลลา และ วูล์ฟ ปิดท้าย
ถ้าวัดกันที่อันดับ ซิตี้ เจอกับทีมครึ่งล่างของตารางถึง 4 ทีม ในขณะที่ หงส์แดง ต้องเจอกับทีมลุ้นท็อปโฟร์ ถึง 2 ทีม
ส่วนใน แชมเปี้ยนส์ลีก อาจจะบอกว่า ลิเวอร์พูล เจองานเบากว่า แมนฯ ซิตี้ ก็ได้ แต่เชื่อเถอะว่าในรอบ 4 ทีมสุดท้ายไม่มีงานง่ายอย่างแน่นอน ไม่เชื่อลองถาม บาเยิร์น มิวนิค ดู
ดังนั้น ในช่วงโค้งสุดท้ายเช่นนี้ แต่ละทีมรู้โปรแกรมของตัวเองอยู่แล้ว จะโทษโชคชะตาก็คงไม่ได้ทั้งหมด เพราะหากต้องการประสบความสำเร็จจริง ๆ อยู่ที่การเตรียมตัวให้พร้อมซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่างหาก…