ขุมกำลังที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล

ไฮไลท์ลิเวอร์พูล, ลิเวอร์พูล, Liverpool

เห็นไลน์อัพของ ลิเวอร์พูล ในเกมที่บุกไปเฉือนชนะ เบิร์นลีย์ 0-1 ที่ เทิร์ฟ มัวร์ ในศึก พรีเมียร์ลีก วันอาทิตย์ที่ผ่านมาแล้วรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นับตั้งแต่ที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทีมเมื่อปี 2015

20 ผู้เล่นที่มีชื่อในเกมล่าสุดไล่เรียงไปตั้งแต่ 11 ตัวจริงมี อลิสซอน เบ็คเกอร์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, เวอร์จิล ฟาน ไดค์, โจเอล มาติป, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์อาร์โนลด์, นาบี เกอิต้า, ฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์

ส่วนตัวสำรองมีชื่อนักเตะอย่าง ควีวิน เคลเลเฮอร์, อิบราอิมา โคนาเต้, คอสตาส ซิมิคาส, ติอาโก้ อัลคันทารา, เจมส์ มิลเนอร์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลดแชมเบอร์เลน, ฮาร์วีย์ เอลเลียต, ดิโอโก้ โชต้า และ หลุยส์ ดิอาซ

11 ตัวจริงเป็นผู้เล่นที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ทีมชุดนี้เล่นกันมาในช่วง 2-3 ปีหลังและประสบความสำเร็จมากมาย แต่ที่ต้องตกใจคือรายชื่อของแข้งสำรอง 9 คนนั้นสามารถนำมาจัดได้อีกทีมแบบสบาย ๆ

ซึ่งจะว่าไปนี่อาจจะเป็นขุมกำลังสำรองที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทีมเลยก็ว่าได้

ย้อนกลับไปในเกมนัดแรกในเกมที่เจอกับ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2015 ทัพนักเตะชุด 11 คนแรกของกุนซือชาวเยอรมันมีหน้าตาแบบนี้

ซิมง มินโญเลต์, นาธาเนียล ไคลน์, มามาดู ซาโก้, อัลแบร์โต้ โมเรโน, มาร์ติน สเคอร์เทล, ฟิลิปเป้ คูตินโญ, เจมส์ มิลเนอร์, อดัม ลัลลานา, ลูคัส เลวา, เอมเร ชาน และ ดิว็อค โอริกี

ส่วนตัวสำรองมีชื่อของ อดัม บ็อกดาน, โคโล ตูเร, คอนอร์ แรนดอล, โจ อัลเลน, จอร์ดอน ไอบ์, เจา เตเซรา และ เจอโรม ซินแคลร์

เมื่อเทียบกับขุมกำลังชุดปัจจุบันแล้วเรียกได้ว่าคนละเรื่องเลยทีเดียว

ไฮไลท์ลิเวอร์พูล, ลิเวอร์พูล, Liverpool

อย่างที่ทราบกันดีว่า ปัญหาที่มีมาตลอดในยุคของ คล็อปป์ คือความห่างชั้นระหว่างขุมกำลังสำรองและ 11 ตัวจริง ซึ่งเจ้าตัวพยายามแก้ไขทุกปี แต่ทุกอย่างต้องเริ่มที่การนับหนึ่งเสมอ นั่นคือการหาตัวหลักของทีมให้ได้ก่อน

ผู้จัดการทีม หงส์แดง ใช้เวลา 4 ปีทำการซื้อมาขายไปกว่าจะได้ทีมชุดที่ลงตัวที่สุดซึ่งสามารถคว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จเมื่อปี 2019 โดยทีมชุดนั้นเป็นชุดเดียวกับที่เอาชนะ เบิร์นลีย์ ได้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ต่างกันที่ นาบี เกอิต้า มาแทน จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม แค่นั้นเอง

ส่วนตัวสำรองในตอนนั้นมีชื่อของ มินโญเลต์, เดยัน ลอฟเรน, เจมส์ มิลเนอร์, โจ โกเมซ, ดาเนียล สเตอร์ริดจ์, อัลแบร์โต้ โมเรโน, อดัม ลัลลานา, อ็อกซ์เหลดแชมเบอร์เลน, เซอร์ดาน ชากิรี, ริอาน บรูซสเตอร์, ดิว็อค โอริกี และ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ซึ่งเหลือเพียง 5 รายที่อยู่ในทีมชุดปัจจุบัน

ในปีต่อมาที่คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก สำเร็จเป็นสมัยแรกและเป็นการคว้าแชมป์สูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังคงยึดทีมชุดเดิมที่เป็นแชมป์ UCL เอาไว้อย่างเหนียวแน่น แทบไม่มีการเสริมทัพใหม่เพิ่มเติม มีเพียงการดึง ฮาร์วีย์ เอลเลียต, เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก 2 แข้งดาวรุ่งและนายทวารจอมเก๋าอย่าง อาเดรียน เข้ามาเป็นตัวสำรองในช่วงซัมเมอร์ ส่วน ทาคุมิ มินามิโนะ ก็ย้ายมาตอนเดือนมกราคม

แม้ว่าจะไม่ได้ซื้อนักเตะใหม่เยอะแยะ แต่นายใหญ่เมืองเบียร์ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาสามารถรักษาความฟิตของ 11 ตัวจริงเอาไว้ได้ตลอดรอดฝั่งและยังทำผลงานได้พีคอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นทีมที่คว้าแชมป์เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก โดยได้แชมป์ตั้งแต่เกมที่ 31 ของฤดูกาล ไม่แพ้ใครถึง 27 นัด ด้วยสถิติชนะ 26 เสมอ 1 ก่อนจะมาแพ้ วัตฟอร์ด ในเกมที่ 28

ทีมชุด 11 ตัวจริงของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ประสบความสำเร็จอย่างมากมายในช่วงปี 2019-2020 ก็จริง แต่ปัญหาเรื่องขุมกำลังสำรองก็ยังคงถูกพูดถึงเสมอ จนในที่สุดสิ่งที่แฟนบอลกังวลมันก็เกิดขึ้นเมื่อซีซัน 2020-2021 หรือฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งแม้ว่า ลิเวอร์พูล จะได้ตัว ดิโอโก้ โชต้า,  ติอาโก้ อัลคันทารา และ คอสตาส ซิมิคาส มาร่วมทีมในตลาดซัมเมอร์ แต่การบาดเจ็บพร้อม ๆ กันอย่างงไม่มีใครคาดคิดของ 3 เซ็นเตอร์อย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์, โจ โกเมซ และ โจเอล มาติป ก็ทำให้ทีมเสียศูนย์ไปพักใหญ่ เพราะพวกเขาไร้ตัวสำรองที่จะเข้ามาทดแทนกันได้ จนทำให้ทีมหมดลุ้นแชมป์และทำได้แค่อันดับ 3 เท่านั้น

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ อิบราฮิมา โคนาเต้ ถูกดึงเข้ามาหลังจบฤดูกาลได้ไม่ถึงเดือน ในขณะเดียวกัน คล็อปป์ ก็การพยายามดันนักเตะดาวรุ่งอย่าง เคอร์ติส โจนส์ ขึ้นมาแทนที่การจากไปของ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม รวมทั้งการส่งเจ้าหนู ฮาร์วีย์ เอลเลียต ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่หลังฟอร์มดีในการยืมตัว

แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของ เดอะค็อป ทั้งหลาย เพราะเมื่อมองไปยังทีมลุ้นแชมป์ทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี หรือแม้กระทั่ง อาร์เซนอล ก็เสริมทัพกันไม่ต่ำกว่า 100 ล้านปอนด์ทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม, การใช้เงินจำนวนมากก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าจะประสบความสำเร็จ เมื่อ คล็อปป์ ค่อย ๆ พา ลิเวอร์พูล ขึ้นมารั้งตำแหน่งรองจ่าฝูงของ พรีเมียร์ลีก มีแต้มตามหลัง แมนซิตี้ 9 คะแนนพร้อมกับการสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมใน ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม และกำลังจะชิงชนะเลิศฟุตบอล คาราบาวคัพ ในขณะที่เส้นทางใน เอฟเอคัพ ก็ดูจะสดใส

ในขณะทีมที่ใช้เงินมหาศาลอย่าง แมนยูไนเต็ด, อาร์เซนอล ยังต้องลุ้นท็อปโฟร์ ส่วน เชลซี ก็ตามหลัง หงส์แดง อยู่ 7 คะแนน

ซึ่งการกลับมาทำผลงานได้ดีของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาได้ 11 ตัวจริงพร้อมหน้า และนักเตะอย่าง โชต้า และ ติอาโก้ ที่ย้ายมาเมื่อซีซันก่อนปรับตัวกับทีมได้ ทำให้ตัวกุนซือมีทางเลือกมากขึ้น แต่ที่น่าสนใจคือคุณภาพของ “ขุมกำลังสำรอง” ของพวกเขานั้นแตกต่างจากปีก่อน ๆ โดยสิ้นเชิง

ดูได้จากโปรแกรมช่วงเดือนมกราคมถึงต้นกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาซึ่ง หงส์แดง ไร้ 2 แข้งกองหน้าคนสำคัญทั้ง ซาลาห์ และ มาเน ที่ฤดูกาลนี้ยิงรวมกันไปทั้งหมด 24 ประตู แต่ทีมก็ไม่เสียสมดุล โดยลงเล่น 6 นัดในทุกรายการ ชนะ 5 เสมอ 1 ยิงได้ 15 และเสียไปแค่ 3 ประตูเท่านั้น

ในตำแหน่งคู่หู “ซาลาห์-มาเน” ถูกทดแทนและหมุนเวียนกันด้วย ดิโอโก้ โชต้า, อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน, ทาคุมิ มินามิโนะ และดาวรุ่งอย่าง เคด กอร์ดอน ซึ่งสามารถรักษามาตรฐานเกมรุกได้อย่างดี

ในขณะที่ตำแหน่งอื่นมี ควีวิน เคลเลเฮอร์ ลงเฝ้าเสาแทน อลิสซอน ในฟุตบอลถ้วย, เนโก้ วิลเลียม และ คอนอร์ แบรดลีย์ สลับกันเล่นในตำแหน่งของ เทรนท์ อาร์โนลด์ ส่วนแบ็คซ้ายมีช่วงหนึ่งที่ ซิมิคาส ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงก่อน โรเบิร์ตสัน ด้วยซ้ำ

ยังไม่พูดถึงการมาของ หลุยส์ ดิอาซ ที่ได้ประเดิมสนามไปแล้ว 2 นัดและมีแนวโน้มว่าจะเป็นอีกหนึ่งแข้งสำคัญของ ลิเวอร์พูล ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ไฮไลท์ลิเวอร์พูล, ลิเวอร์พูล, Liverpool

จะเห็นได้ว่าตลอด 6 ปีที่ผ่านมา, ดอกผลของการสร้างทีมในแบบของ เยอร์เก้น คล็อปป์ มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่การวางสไตล์การเล่นที่ชัดเจน การหา 11 ตัวจริงที่เข้ากับแท็คติก พร้อม ๆ กับการสร้างขุมกำลังสำรองที่แข็งแกร่ง และการวางอนาคตให้กับทีม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลา แต่ถ้ามองในระยะยาวมันก็คุ้มค่ากับการลงทุนมิใช่น้อย

เชื่อว่าด้วยการมีขุมกำลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้น่าจะเป็นอีกปีที่พวกเขาประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก และจะทำให้ เดอะค็อป สามารถมองเห็นอนาคตอันสดใสของทีมได้อีกหลายปีต่อจากนี้ด้วย

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top