หลังเปิดฤดูกาลใหม่มาราว ๆ 1 ใน 3 ของ พรีเมียร์ลีก อัตราการถล่มประตูของ ลิเวอร์พูล นั้นถือได้ว่าอยู่ในขั้นน่ากลัวและสยดสยองสำหรับคู่แข่งเป็นอย่างยิ่ง
ผ่านมาแล้ว 15 นัดก่อนเจอกับ แอตเลติโก้ มาดริด พวกเขาระเบิดภูเขาเผากระท่อมคู่ต่อสู้ไปเน็ต ๆ 45 ประตูในทุกรายการ หรือถ้าคิดเป็นค่าเฉลี่ยก็ 3 ประตูต่อ 1 เกมพร้อมกับเป็นทีมที่ยิงประตูเยอะที่สุดใน พรีเมียร์ลีก ที่ 29 ประตู มากกว่า เชลซี จ่าฝูง ที่ทำไป 26 ลูกและ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในยุคที่ไร้กองหน้าหมายเลข 10 ที่ยิงได้เพียง 20 ลูกด้วย
จากสถิติที่เห็นถือเป็นการตอบโต้แฟนบอลและกูรูบางรายที่ปรามาสเอาไว้ก่อนเปิดฤดูกาลว่า 3 ประสาน หงส์แดงโดนจับทางได้หรือน่าจะเลยจุดสูงสุดไปแล้วในขณะที่ทั้งหมดกำลังย่างเข้าสู่ “เลข 3” กันอย่างถ้วนหน้า
อย่างไรก็ตามของแบบนี้จะมัวแต่ดีใจหรือปลาบปลื้มมากก็ไม่ได้ เพราะอันที่จริงแนวรุกของ ลิเวอร์พูล นั้นเคยประสบปัญหา “เท้าบอด” กันมาแล้วเมื่อฤดูกาลก่อน
ย้อนไปในซีซันที่แล้ว, มีช่วงที่บรรดากองหน้าเครื่องจักรสีแดงทำงานกันขลุกขลักไม่เต็มที่ ไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสอันงดงามให้เป็นประตูได้ หรือพูดกันง่าย ๆ ว่าพวกเขาใช้โอกาสสิ้นเปลือง โดยในช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคมเฉพาะใน พรีเมียร์ลีก ซาลาห์, มาเน, ฟีร์มีโน รวมทั้ง ดิโอโก้ โชต้า ยิงใครไม่ได้เลยแม้แต่ลูกเดียว
แม้ว่ามาในซีซันนี้พวกเขาจะพากันคืนฟอร์มดาหน้าไล่ถล่มคู่แข่งแบบสนุกเท้า แต่ด้วยอายุอานามของ 3 ประสานที่มากขึ้นตามลำดับก็ใช่ว่าฟอร์มแบบนี้จะยังคงอยู่ตลอดไป, แน่นอนว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ เองก็ทราบถึงเรื่องนี้ดี จึงได้ตัดสินใจดึง ดิโอโก้ โชต้า เข้ามาร่วมทีมในซัมเมอร์ปีก่อนเพื่อคอยช่วยแบ่งเบาภาระในส่วนนี้
หากแต่ตัวเลือกที่มีอยู่ในกำมือตอนนี้ ก็อดคิดไม่ได้ว่า มันเพียงพอแล้วจริงหรือ? กับการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก และฟุตบอลยุโรปในระยะยาว ดังนั้นทางออกของเรื่องนี้คือการมองหาตัวเลือกใหม่ที่จะเข้ามาเติมความสดใสให้กับแผงเกมรุก
หนึ่งในนั้นมีชื่อของ อิวาน โทนี กองหน้าร่างยักษ์ของ เบรนท์ฟอร์ด ทีมน้องใหม่ที่ทำผลงานน่าสนใจในการเลื่อนชั้นมาเล่นใน พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรก ซึ่งเจ้าตัวก็เคยตกเป็นข่าวกับ ลิเวอร์พูล มาแล้วเหมือนกันเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา
สำหรับสาเหตุที่ทำให้ชื่อของ โทนี เข้ามาอยู่ในโฟกัสยามนี้มาจากบทสัมภาษณ์สั้น ๆ แต่มีนัยสำคัญผ่านทาง Total Media ทางยูทูป ที่เจ้าตัวถูกถามว่า ระหว่างการเป็นตัวจริงกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด กับการมาเป็นตัวสำรองที่ ลิเวอร์พูล เขาจะเลือกอะไร…
ดาวยิงผึ้งพิฆาตตอบแบบไม่ต้องคิดมากว่า “ผมเชียร์ ลิเวอร์พูล ถ้าพวกเขาต้องการผม ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“ผมจะย้ายไป ลิเวอร์พูล และจะเป็นตัวจริงของทีมให้ได้”
กับบทสัมภาษณ์ที่ตัดมาสั้น ๆ แค่นี้ก็ทำให้ โทนี กลับมาเป็นที่สนใจของเด็กหงส์อีกครั้ง ซึ่งเชื่อว่าหลายคนได้เห็นฝีเท้าของเขาตอนดวลกับ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ในเกมที่ ลิเวอร์พูล เสมอ เบรนท์ฟอร์ด 3-3 ไปแล้วว่าหมอนี่สร้างความปั่นป่วนให้เกมรับของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้มากขนาดไหน
โทนี แจ้งเกิดกับ เดอะบีส์ ด้วยการยิงไป 33 ประตูใน เดอะแชมเปี้ยนชิพ เมื่อซีซันที่แล้ว ในขณะที่ซีซันนี้เจอระดับการแข่งขันที่ยากขึ้นกว่าเดิมทำให้ยังไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้มากนัก โดยยิงไป 3 ประตูและทำ 3 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 11 นัดในทุกรายการหรือถ้าคิดเป็นค่าเฉลี่ยก็คือยิงได้ 0.54 ประตูต่อ 1 เกม
หากแต่สิ่งที่น่าสนใจในตัวของกองหน้าวัย 25 ปีผู้นี้ ที่นอกจากการที่เขาประกาศตัวเป็น “เดอะค็อป” คนหนึ่งแล้ว นั่นคือสไตล์การเล่นของหัวหอกรายนี้ก็น่าจะเข้ามาเติมเต็มทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้ไม่น้อย
โทนี เป็นกองหน้าประเภท “หน้าเป้า” ในแบบเดียวกับ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ และสามารถเป็นทางเลือกในแท็คติกเกมรุกของทีมได้ ซึ่งนับตั้งแต่ที่ “เต้ยโศก” อำลาทีมไป คล็อปป์ ก็ยังไม่มีนักเตะประเภทนี้อยู่ในทีมอีกเลย
นอกจากนั้นเขายังมีดีที่เกมรับ โดยในการเพรสซิ่งทำได้ 14.7 ครั้งต่อ 1 เกม, แย่งบอลได้ 1.5 ครั้ง และแท็คเกิ้ลสำเร็จกว่า 90% และคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของเจ้าตัวก็คือการครองบอลในแดนหน้า และการเล่นลูกกลางอากาศที่สุดอันตรายจากสถิติการชนะการดวลลูกโหม่ง 4.60 ครั้งต่อเกม
ความโดดเด่นนี้จะทำให้การครอสบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ นั้นอันตรายมากยิ่งขึ้น และเป็นออปชั่นในเกมรุกที่เราไม่เห็นใน ลิเวอร์พูล ยุคนี้ซักเท่าไหร่
แต่คำถามที่ตามมาคือ ลิเวอร์พูล จะยอมทุ่มเงินเพื่อซื้อ โทนี เข้ามาเป็นตัวเลือกที่ 3 ในแนวรุกจริงหรือ และใครที่จะต้องเป็นคนยอมถอยออกไประหว่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน และ ดิโอโก้ โชต้า ซึ่งเป็นกองหน้าในสไตล์ที่มักมีส่วนร่วมในการสร้างเกมจากแดนกลางจนถึงแดนหน้ามากกว่าที่จะไปรอจบสกอร์ในกรอบเขตโทษเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเมื่อลองคำนวณดูจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างแล้ว ความคุ้มค่าน่าจะมีมากกว่าความเสี่ยง ด้วยแพสชันของ โทนี ที่มีต่อ ลิเวอร์พูล นั้นน่าจะช่วยยกระดับการเล่นของเขาได้หากได้ย้ายมายังถิ่น แอนฟิลด์ รวมทั้งยังเป็นการติดอาวุธเพิ่มในแนวรุกที่วันไหนทัพหงส์แดงทรงเกมรุกตื้อ ๆ ยิงประตูไม่ได้ เขาก็สามารถยืนค้ำรอชาร์จลูกครอสจากทั้ง เทรนท์ อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ได้ด้วย
และถ้าหากว่าหัวหอกหัวใจหงส์รายนี้ สามารถคืนฟอร์มเหมือนเมื่อครั้งยิงกระจายใน เดอะแชมเปี้ยนชิพ ได้เมื่อไหร่
ก็ยิ่งไม่มีอะไรให้ต้องคิดมากเลยเสียด้วยซ้ำ…