นับตั้งแต่เปิดฤดูกาลใหม่ของ พรีเมียร์ลีก ผ่านมา 7 เกม นักเตะที่ได้รับเสียงวิจารณ์มากที่สุดของ ลิเวอร์พูล คงจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็คขวาเด็กปั้นของสโมสร
ประเด็นที่เขาโดนสับแหลกอยู่บ่อย ๆ นั่นคือความไร้ประสิทธิภาพในเกมรับ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งจะเป็นปัญหา แต่มันหมักหมมและสะสมมานานนับตั้งแต่ที่เจ้าตัวก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2016
นับกันจริง ๆ แล้ว เทรนท์ ลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล มาแล้ว 6 ปีเต็ม จากการถูกดึงขึ้นมามีส่วนร่วมในทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ในฤดูกาล 2016-2017 และใช้เวลา 2 ปีก่อนจะยึดตำแหน่งตัวจริงได้สำเร็จ
จากนั้น “หนูเทรนท์” ของ เดอะค็อป ก็แผลงฤทธิ์พาทีมคว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ในปี 2019 ต่อด้วยการเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในปีต่อมา ซึ่งเป็นช่วงพีคสุดในการค้าแข้งของเขาโดยลงเล่นในทุกรายการรวม 45 นัด ยิงไป 4 ประตูและทำได้ 15 แอสซิสต์
ท่ามกลางความยอดเยี่ยมเขาถูกตั้งคำถามมาเรื่อย ๆ เกี่ยวกับการเล่นเกมรับ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า เทรนท์ นั้นเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์มาก่อนในทีมชุดเยาวชน ก่อนจะมาถูก เยอร์เก้น คล็อปป์ จับตัดแต่งจนกลายพันธุ์มาเป็นแบ็คขวาจอมแอสซิสต์อย่างที่เห็นทุกวันนี้
ครั้งแรก ๆ ที่มีการพูดเรื่องนี้ขึ้นมา น่าจะเป็นเกมนัดที่ ลิเวอร์พูล บุกไปเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึกแดงเดือดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2018 ซึ่งเกมนัดนั้นเจ้าตัวถูก มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ลงเล่นในตำแหน่งปีกซ้ายเผาเครื่องแบบไม่มีชิ้นดี
โชเซ มูรินโญ ที่คุมทีม ปีศาจแดง ในเวลานั้น สั่งเน้นให้ลูกทีมขึ้นบอลด้านซ้าย โดยมี แรชชี และ แอชลีย์ ยัง คอยทำหน้าที่ปั่นป่วน เทรนท์ อาร์โนลด์ และมันก็ได้ผล พวกเขาสามารถเอาชนะไปได้ 2-1 และเป็นครั้งสุดท้ายที่ แมนยู เอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้ก่อนจะกลับมาเอาชนะได้อีกครั้งเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ตอนนั้นเจ้าหนูวัย 19 ปีโดนวิจารณ์พอสมควร แต่ด้วยการเป็นดาวรุ่งทำให้แฟนบอลยังพอเข้าใจได้ว่านี่คือประสบการณ์ที่เจ้าตัวยังต้องเก็บเกี่ยวกับสั่งสมต่อไป
เทรนท์ ค่อย ๆ เติบโตและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ในตำแหน่งแบ็คขวาภายใต้การปลุกปั้นของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ซึ่งเขารู้ดีว่าวิธีที่จะกลบจุดอ่อนเรื่องเกมรับได้ก็คือการให้เน้นเกมรุกอย่างบ้าคลั่งในระบบ 4-3-3 และการเล่นแบบเกเก้นเพรสซิง ซึ่งมันก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะด้วยการเล่นแบบนี้ทำให้ เทรนท์ กลายเป็นฟูลแบ็คที่ได้รับการยอมรับไปทั่วยุโรป
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความอ่อนด้อยในเรื่องการเล่นเกมรับก็ไม่ได้จางหายไป มันแค่ถูกบดบังด้วยการทำแอสซิสต์สวย ๆ และการช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมทีมทั้งแดนกลางและแดนหลัง แต่เมื่อมาถึงฤดูกาลนี้จุดอ่อนของ เทรนท์ ก็มาถูกเปิดแผลอีกครั้ง
เกมที่ แอนฟิลด์ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะทีมเยือนเน้นการเจาะฟูลแบ็คทั้งสองข้าง การเติมขึ้นสูงไปช่วยเกมรุกมันทำให้เกิดช่องว่างด้านหลัง ถ้าอยู่ในช่วงพีค ๆ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หรือ โจเอล มาติป อาจจะช่วยซ้อน ช่วยรองบอลกันได้ แต่ในยามที่นักเตะฟอร์มตกกว่าค่อนทีม ผลลัพธ์จึงออกมาอย่างที่เห็น
3 ประตูที่เสียไปมาจากการเจาะด้านขวาและความผิดพลาดของที่ เทรนท์ มีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นประตูแรกที่เคลียร์บอลไม่ขาด ลูกสองโดนฉกบอลไปจากเท้า ลูกสามก็โดนลากผ่านแบบสบาย ๆ
นี่เป็นอีกเกมที่แฟนบอลต่างไม่พอใจฟอร์มการเล่นของแข้งวัย 23 ปี และเป็นอีกเกมที่เขาถูกกล่าวหาว่าขี้แอ๊ค ไร้ความมุ่งมั่น และถึงจุดอิ่มตัวแล้ว
แต่หากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง การจะโทษนักเตะคนเดียวก็คงไม่ถูก เพราะในเกมล่าสุดดูเหมือนว่าผู้เล่นของ ลิเวอร์พูล จะพากันฟอร์มตกพร้อม ๆ กันกว่าครึ่งทีม โดยเฉพาะในแผงหลังที่ก่อความผิดพลาดหลายครั้ง ดีที่ได้ อลิสซอน ช่วยเซฟให้รอดพ้นจากการเสียประตูได้หลายครั้ง
ลองนึกภาพว่าถ้านักเตะ หงส์แดง ฟิตเต็มร้อยและอยู่ในฟอร์มแกร่งทุกคน รูปแบบการเล่นจะเป็นอีกอย่างโดยสิ้นเชิง เพราะแม้ว่าจะมีจุดอ่อนด้านขวา แต่ทุกคนก็ยังสามารถช่วยกันสกรีนบอลและเล่นเกมรับได้อย่างแข็งแกร่ง
แต่เมื่อในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น กองหลังที่เคยแข็งแกร่งกลับฟอร์มตกอย่างน่าใจหาย เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็ถูกเจาะชนิดที่พรุนไปทั้งตัว เยอร์เก้น คล็อปป์ จึงต้องพยายามหาทางหยุดความเสียหายเหล่านี้ให้ได้โดยเร็ว
เกมนัดต่อไปที่จะพบกับ กลาสโกว เรนเจอร์ส ถือเป็นแม็ตช์ที่แบ็คขวา ลิเวอร์พูล ต้องยกระดับผลงานขึ้นมาให้ได้ ซึ่งคู่แข่งจากสก็อตแลนด์ไม่ใช่ทีมที่แข็งแกร่งอะไรมาก ตอนนี้จมบ๊วยอยู่ในกลุ่ม จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ลูกทีมของ คล็อปป์ จะต้องเอาชนะเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมา
นักฟุตบอลเองก็มีช่วงที่ดีและแย่ การที่ เทรนท์ ฟอร์มตกและโดนโจมตีเช่นนี้จึงถือเป็นเรื่องปกติที่เขาจะต้องผ่านมันไปให้ได้เพื่อการก้าวไปเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งในอนาคต
ไม่มีอะไรที่จะช่วยให้กลับคืนสู่ฟอร์มเดิมได้ นอกจากความเชื่อมั่นและชัยชนะเท่านั้น…