เกมที่ ลิเวอร์พูล บุกไปเยือน บียาเรอัล เมื่อคืนก่อน เป็นอีกหนึ่งนัดที่บรรดาสาวกเดนตายของทีมต่างลงความเห็นกันว่า 45 นาทีแรกคือนรกชัด ๆ
เยอร์เก้น คล้อปป์ และลูกทีมได้รับการเตือนก่อนหน้านี้แล้วว่าพวกเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้างในการลงเล่นเลกสองที่สเปน และก็เจอแบบนั้นจริง ๆ จนทำให้เสียทรงเดินเกมกันไม่เป็นกระบวนท่า
กฎสำคัญข้อหนึ่งของฟุตบอลก็คือ 5 นาทีแรกและ 5 นาทีสุดท้ายคือช่วงเวลาที่สำคัญ ถ้าคุณเป็นทีมที่ไม่ต้องการเสียประตู ก็ต้องรักษาความบริสุทธิ์ในช่วงเวลาดังกล่าวให้ได้ แต่ถ้าคุณคือทีมที่ต้องการประตู นี่คือโมเม้นต์สำคัญที่คุณต้องทำให้สำเร็จ
บียาเรอัล ทำแบบนั้นได้จริง ๆ พวกเขาได้ประตูแรกในนาทีที่ 3 และประตูที่ 2 ในนาทีที่ 41 ตามตำราเป๊ะ นั่นจึงทำให้ครึ่งแรกของ ลิเวอร์พูล มีฟอร์มการเล่นที่เลวร้ายที่สุดของฤดูกาลก็ว่าได้
หลังจากที่โดน เดอะเร้ดส์ สอนบอลชนิดสู้ไม่ได้ด้วยสกอร์ 2-0 มาในเลกแรก อูไน เอเมรี โยนคำขู่ใส่ เยอร์เก้น คล็อปป์ และพลพรรคทันที โดยบอกว่าเกมนัดที่สองในบ้านของพวกเขามันจะไม่เหมือนเดิม และจะเพิ่มเติมด้วยทีเด็ดที่ไม่มีใครคาดถึง
สมทบด้วย เปา ตอเรส กองหลังเนื้อหอมที่มีข่าวกับหลายทีมใน พรีเมียร์ลีก ก็ออกมาสนับสนุนคำพูดของคนเป็นนายว่า ระวังเอาไว้ เรารู้แล้วว่าจะเอาชนะพวกคุณยังไง
สิ่งที่เกิดขึ้นใน 45 นาทีแรกคือสิ่งที่คำตอบ เอเมรี สั่งลูกทีมเล่นเหมือนกับที่ ลิเวอร์พูล เคยทำกับทีมอื่น คือการบีบสูงในแดนคู่แข่ง ไล่เพรสแดนกลางให้หนักเพื่อไม่ให้ นาบี เกอิต้า และ ติอาโก้ อัลคันทารา ออกบอลได้ และมันก็ประสบความสำเร็จ เมื่อทั้ง 2 คนผลัดกันทำพลาดคนละทีสองที
จากนั้น ให้โจมตีไปที่แบ็คทั้งสองข้างซึ่งเป็นอาวุธสำคัญในเกมรุกของ คล็อปป์ กดเอาไว้ไม่ให้ดันขึ้นมา และ 2 ประตูที่ได้ก็มาจากจุดนั้น
บียาเรอัล ถือคติว่าหนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่ง เล่นเพรสใช่มั้ย งั้นเดี๋ยวเจอบ้าง พวกเขาจึงใส่เต็มอย่างไม่คิดชีวิต ในขณะที่ทีมเยือนที่ตั้งใจจะมาเล่นตามเกมโทษฐานที่มีประตูตุนอยู่ 2 ลูกกลับเสียกระบวนเพราะโดนจุดแข็งของตัวเองเล่นงาน
ครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ครองบอลได้น้อยกว่า ยิงน้อยกว่า ทำเกมรุกไม่ได้ สถิติทุกอย่างเป็นรองแทบทั้งสิ้น เล่นกันไม่เป็นทรงสะเปะสะปะอย่างเห็นได้ชัด ดีที่ไม่โดนเพิ่ม จบด้วยสกอร์ 2-0 สำรวจความเห็นแฟนบอลตามโลกโซเชียลพากันก่นด่านักเตะตัวเองไม่มีชิ้นดี เกอิต้า, ฟาบินโญ, ติอาโก้ 3 แดนกลางโดนยำเละ ร็อบโบ้ และ เทรนท์ ก็รับไปเต็ม ๆ กับ 2 ประตูที่เสียไป
อย่างไรก็ตาม, สิ่งที่ทำให้ ลิเวอร์พูล มาได้ไกลขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะพวกเขามีรูปแบบการเล่นและนักเตะที่ดีเท่านั้น แต่มันสมองของผู้จัดการทีมก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะสถานการณ์แบบนี้ ต่อให้นักเตะจะเจ๋งขนาดไหน ถ้าไม่ได้คนคอยแก้ปัญหาที่ดี พวกเขาคงไม่รอดมาถึงจุดนี้
นั่นจึงเป็นที่มาของการส่ง หลุยส์ ดิอาซ ลงสนามแทน ดิโอโก้ โชต้า ในครึ่งหลัง ซึ่งจากนั้นเกมก็กลับมาเป็นของทีมเยือน พวกเขากลับมาเล่นในแบบฉบับของตัวเอง ในขณะที่เจ้าบ้านถอนคันเร่งเพื่อถนอมแรงที่ใช้ไปเกือบหมดถีงในครึ่งแรก รอจังหวะโต้ดี ๆ หรือไปวัดกันในช่วงท้ายเกมอีกครั้ง
หากแต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อ ดิอาซ คือคนที่สร้างความแตกต่างในเกมรุก, คล็อปป์ ส่งลงมาเล่นทางกราบซ้ายและดัน ซาดิโอ มาเน เข้าไปยืนเป็นหน้าเป้าหรือเล่นฟอลล์ไนน์ ซึ่งไม่นานก็ได้ผลเมื่อลูกตีไข่แตกเกิดขึ้นจากการยิงของ ฟาบินโญ ในนาทีที่ 62 และเป็นแข้งโคลอมเบียนที่สอดตัวขึ้นไปโหม่งประตูตีเสมอในอีก 5 นาทีต่อมา ถึงตอนนี้เจ้าบ้านเสียขวัญเป็นที่เรียบร้อย เพราะแรงก็ไม่มี ยิงเพิ่มก็ไม่ได้ รูปเกมยังตกเป็นรอง แถมโดนตีเสมออีกต่างหาก
เมื่อเสียกระบวน สมาธิก็แตกซ่าน นั่นจึงเป็นที่มาของประตูที่ 3 การเข้าบีบเป็นกลุ่มของ บียาเรอัล นั้นน่าสนใจ พวกเขาพยามจะเล่นแบบที่ คล็อปป์ ปลูกฝังให้แข้ง หงส์แดง แต่มันคือของก็อป พอโดนตัดบอล เกอิต้า วางบอลยาวข้ามกองหลังพื้นที่ระหว่างไลน์เกมรับกับหน้าประตูประตูเปิดโล่งเป็นไร่ บวกกับการตัดสินใจของ เจโรนิโม รูลลี นายทวารเจ้าถิ่นทำให้ลูกนี้ มาเน ควบตะบึงแบบไม่ต้องคิดมากและยิงบอลอย่างใจเย็น ปิดกล่องบินสู่ปารีสโดยทันที
เอาเข้าจริงเกมนี้ต้องชม อูไน เอเมรี และลูกทีมที่วางแผนกันมาเป็นอย่างดีโดยเฉพาะในช่วง 45 นาทีแรก พวกเขารู้ว่าการเล่นกับ ลิเวอร์พูล ถ้ามัวแต่บังแล้วโต้ก็คือการรอคอยความตายดี ๆ นี่เอง บทเรียนก็มีมาแล้วจากเลกแรก ดังนั้นต้องเพรสสู้และก็ทำได้ดีจนต้องลุกขึ้นปรบมือชื่นชม
หากแต่มันไม่ใช่สไตล์ที่ทีมจากสเปนถนัด การเล่นแบบนี้ต้องใช้พละกำลังและความแข็งแกร่งสูงมาก, ลิเวอร์พูล เคยเจอมาแล้วเมื่อช่วงแรกที่ คล็อปป์ มาทำทีมใหม่ ๆ พวกเขาดุดันในช่วงต้นฤดูกาล แต่ผลจากการเพรสหนักทำให้นักเตะกรอบเป็นข้าวแกรียบ ช่วงท้ายซีซันจึงมักหลุดบ่อย ๆ ก่อนที่จะมาปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นและเป็นอย่างที่เราได้เห็นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
45 นาทีแรกอาจไม่ใช่เกมของ ลิเวอร์พูล แต่พวกเขาคือทีมที่มี DNA แห่งการเพรสซิ่ง, ดังนั้น เมื่อยังมีแรงและดึงสติกลับมาได้ 45 นาทีหลังเลยสอนให้ บียาเรอัล รู้ว่าของจริงต้องเล่นแบบไหน
ฟอร์มในครึ่งหลังจึงเป็นเหมือนการที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ กำลังจะบอกกับคู่แข่งและแฟนบอลว่า ขอเวลาแค่ครึ่งเดียว เราจะทำให้รู้ว่าฟุตบอลของพวกเราเป็นอย่างไร
ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว, ฟุตบอลของพวกเขาก็พาตัวเองไปรอที่เล่นรอบชิงชนะเลิศปารีส พร้อมกับการประกาศตัวลุ้น 4 แชมป์อย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อย