‘ความพ่ายแพ้ก็มีข้อดี?!’ ประเด็นหลังเกมหงส์บุกพ่ายค้อน

เยอร์เก้น คล็อปป์, Jurgen Klopp, Liverpool, ลิเวอร์พูล

การออกไปเยือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ ลอนดอน สเตเดี้ยม ถือเป็นงานยากตั้งแต่แรกสำหรับ เยอร์เก้น คล็อปป์ เมื่อเขาต้องแบกรับปัญหาตัวผู้เล่นบาดเจ็บหลายราย โดยเฉพาะในแผงกองกลาง ในขณะที่เจ้าบ้านกำลังคึกคักและอยู่ในฟอร์มที่แข็งแกร่งเกินต้านทาน

จากนั้นงานก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่เมื่อ อลิสซอน ขึ้นชกบอลจากลูกเตะมุมผิดเหลี่ยมจนกลายเป็นการทำเข้าประตูตัวเอง ท่ามกลางการประท้วงจากนักเตะ ลิเวอร์พูล แต่สุดท้ายวีเออาร์ก็ตัดสินให้เจ้าบ้านขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 5 ซึ่งจากนั้นรูปเกมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

หงส์แดง เร่งเครื่องเต็มที่ ครองบอลกว่า 70% ไล่บด ขุนค้อน เต็มกำลัง และพวกเขาก็มาได้ประตูตีเสมอจากฟรีคิกของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ซึ่งเป็นฟรีคิกลูกแรกของเขาในซีซันนี้ในนาทีที่ 41 พร้อมกับการกลับเข้าสู่อุโมงค์ในช่วงพักครึ่งด้วยสถานการณ์ที่ไม่มีใครเสียเปรียบและได้เปรียบ

ลิเวอร์พูล, Liverpool, หงส์แดง

หากแต่เมื่อกลับมาลงสนามในอีก 45 นาที ลิเวอร์พูล ก็ยังคงเป็นทีมที่เสมอต้นเสมอปลายในการใช้โอกาสสิ้นเปลือง โดยเฉพาะจาก ซาดิโอ มาเน ที่มีโอกาสจะยิงให้ทีมขึ้นนำ 2-1 และในช่วงท้ายเกมที่พลาดการตีเสมอ 3-3 ไปอย่างน่าเสียดายก่อนจะจบเกมด้วยความพ่ายแพ้นัดแรกของ ฤดูกาล ด้วยสกอร์ 3-2

ความปราชัยที่เกิดขึ้นถือเป็นนัดแรกในรอบ 25 เกมในทุกรายการ ทำให้ เดอะเร้ดส์ ร่วงลงไปอยู่อันดับ 4 ของตาราง มีคะแนนห่างจาก เชลซี ทีมจ่าฝูง 4 คะแนนแต่ยังมีแต้มตามหลังรองจ่าฝูงอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แค่แต้มเดียว

แม้ว่าหลังจบเกมหลายคนอาจจะพูดถึงฟอร์มการเล่นอันย่ำแย่ของนักเตะ ลิเวอร์พูล และความยอดเยี่ยมของ เดวิด มอยส์ ที่สามารถยัดเยียดความปราชัยเป็นเกมแรกให้กับ คล็อปป์ ใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ได้ แต่อย่างน้อยเรายังมองเห็นแง่มุมที่น่าจะทำให้แฟนบอลได้สบายใจกันบ้างหลังจบเกมนัดนี้

ลิเวอร์พูล, Liverpool, หงส์แดง

ศูนย์คะแนนที่ได้จากการไปเยือน ลอนดอน สเตเดี้ยม ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ หงส์แดง หมดลุ้นแชมป์ลงทันที เพราะเมื่อดูจากภาพรวมที่ผ่านมาเราจะเห็นว่า ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถยืนระยะได้นานกว่าใครเพื่อนกว่าจะมาพบกับความปราชัยเป็นเกมแรกในลีก ซึ่งนี่คือสัญญาณที่สามารถบอกได้ถึงคุณภาพของ ลิเวอร์พูล ชุดนี้

เมื่อหันไปดูคู่แข่งที่จะลุ้นแชมป์กันในฤดูกาลนี้จะเห็นได้พวกเขาเหล่านั้นก็ยังมีโอกาสที่จะสะดุดล้มกันได้อีกหลายเกม อย่างนัดล่าสุด เชลซี ทำได้แค่เปิดบ้านเสมอกับ เบิร์นลีย์ ในขณะที่ แมนฯ ซิตี้ แม้ว่าจะโชว์ฟอร์มหรูบุกไปเชือด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงถิ่นแต่พวกเขาก็แพ้ไปแล้ว 2 นัดตั้งแต่เกมเปิดหัวกับ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ และการโดน คริสตัล พาเลซ บุกชนะถึงถิ่นเมื่อสัปดาห์ก่อน

อย่าลืมว่าการลุ้นแชมป์ลีกนั้นการต้องอาศัยความสม่ำเสมอเป็นหลัก ไม่ใช่การออกตัวอย่างร้อนแรงในช่วงแรกเพียงอย่างเดียว

ในขณะเดียวกันความพ่ายแพ้ในเกมล่าสุดของ ลิเวอร์พูล นั้นต้องยกเครดิตทั้งหมดให้กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด พวกเขามีการวางแผนการเล่นที่ยอดเยี่ยมและช่วยกันทำงานได้อย่างไม่มีที่ติในการหยุดยั้งเกมรุกสุดอันตรายของ คล็อปป์ และลูกทีมซึ่งหากเป็นเกมอื่น ไม่แน่ว่าโชคอาจเข้าข้าง หงส์แดง พวกเขาอาจสามารถเก็บ 3 คะแนนได้อย่างที่ต้องการ แต่ฟุตบอลก็เป็นเช่นนี้ ทีมที่ดีกว่าก็ย่อมมีวันที่ย่ำแย่เหมือนกัน…อย่างไรก็ตามยังคงมีแสงสว่างจากปลายอุโมงค์เสมอ

ลิเวอร์พูล, Liverpool, หงส์แดง

หลังช่วงเบรกทีมชาติ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะได้ผู้เล่นที่บาดเจ็บกลับมาสู่ทีมอีกครั้ง ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องโฟกัสที่การลงเล่น ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มอีกแล้ว เนื่องจากสามารถเก็บ 12 คะแนนเต็มไปรอที่รอบน็อคเอ้าท์เรียบร้อย ในขณะที่ทีมจ่าฝูงและรองจ่าฝูงอย่าง เชลซี และ แมนฯ ซิตี้ ยังคงต้องลุ้นกันต่อไป ซึ่งตรงนี้ถือเป็นข้อได้เปรียบและเป็นโอกาสที่ดีที่นายใหญ่เมืองเบียร์จะสั่งให้ลูกทีมจัดเต็มกับเกมในลีกเพื่อกลับสู่หัวตารางอีกครั้ง

จริงอยู่ที่บางคนอาจจะบอกว่าใน 2 เกมหลังสุด ลิเวอร์พูล จะทำผลงานได้ไม่ดีนัก แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ชนะ 5-0 มาแล้วถึง 2 นัดติดกันในเกมกับ วัตฟอร์ด และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและต้องไม่ลืมว่าทีมทีมนี้คือทีมที่เอาชนะ 4 นัดรวดในรอบแบ่งกลุ่ม UCL ซึ่งอยู่ใน “กรุ๊ปออฟเดธ” ด้วยซ้ำ

ดังนั้นเชื่อว่าลูกทีมของ คล็อปป์ จึงยังมีคุณภาพมากพอที่จะกลับมาเก็บแต้มเพื่อไล่ล่าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ที่ยังอยู่บนเส้นทางอีกยาวไกล และ 2 สัปดาห์ต่อจากนี้คือช่วงเวลาที่ต้องทำสิ่งต่าง ๆ ให้กลับมาเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิมก่อนจะกลับมาเปิดบ้านทำศึกใหญ่กับ อาร์เซนอล ในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top