3 คะแนนสุดสำคัญ ที่ช่วยยกระดับ ‘ลิเวอร์พูล’ ไปอีกขั้น?!

ลิเวอร์พูล, Liverpool, หงส์แดง

หลังจบเกมที่บุกไปชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน ได้อย่างหวุดหวิดจากลูกยิงในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ “มหาเทพ” ดิว็อค โอริกี, ลิเวอร์พูล ได้แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ชัดเจน โดยเฉพาะในการเล่นเกมรับของพวกเขา

นับตั้งแต่กลับมาลงเล่นกันอีกครั้งหลังจบช่วงเบรกทีมชาติ หากนับเฉพาะในศึก พรีเมียร์ลีก 4 นัด หงส์แดง ยิงไปทั้งหมด 13 ประตูและเสียไปเพียงลูกเดียว ในขณะที่ 11 เกมก่อนหน้านั้นพวกเขาเสียไปถึง 10 ประตู โดยเฉพาะ 4 เกมก่อนปิดเบรคพวกเขาก็เสียไปแล้ว 4 ลูก

หมายความว่าเฉลี่ยแล้ว 11 เกมแรก เดอะเร้ดส์ เสียไปนัดละเกือบ 1 ประตูเลยทีเดียว ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นและหลายคนชี้เป้าไปที่แผงกองกลางที่มักโดนเกมสวนกลับของคู่แข่งเล่นงานง่าย ๆ อยู่เสมอ

หากจะวิเคราะห์กันให้เห็นภาพจริง ๆ คงต้องย้อนกลับไปดูในเกมที่เสมอกับ เบรนท์ฟอร์ด 3-3 และแม็ตช์ที่แพ้ เวสต์แฮม 3-2 ก่อนพักเบรกทีมชาติ

ทั้ง 2 เกมสิ่งที่เกิดขึ้นคือการชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของ ลิเวอร์พูล อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นฟอร์มการเล่นในการเจอกับ เดอะบีส์ เมื่อ ลิเวอร์พูล เสียบอลในแดนกลางผลที่ตามมาคือมีโอกาสในการเสียประตูสูง ซึ่งสุดท้ายมันก็เกิดขึ้นถึง 3 ลูกจากโอกาส 12 ครั้งตลอดทั้งเกม

เช่นเดียวกับเกมที่พ่าย เวสต์แฮม ทีมขุนค้อน มีโอกาสยิงประตู 7 ครั้งและเปลี่ยนเป็น 3 ประตูซึ่งมาจากรูปแบบการเข้าทำเดิม ๆ คือการเสียบอลจากแดนกลาง โดนโต้กลับ ไม่มีใครตัดฟาวล์ บอลทะลุถึงแผงหลัง และจบที่การเสียประตู ตัวอย่างที่ชัดเจนคือช็อตที่ จาร์ร็อด โบเวน สามารถทะลุแดนกลางเข้าไปจ่ายบอลให้  พาโบล ฟอร์นอลส์ ยิงประตูขึ้นนำ 2-1 ในครึ่งหลัง

แถมในเกมดังกล่าวแค่ ดีแคลน ไรซ์ คนเดียวก็ทำสถิติแย่งบอลได้มากที่สุดถึง 5 ครั้ง มากกว่าสถิติของ 3 มิดฟิลด์ ลิเวอร์พูล อย่าง อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ติอาโก้ ที่รวมกันทำได้แค่ 4 ครั้งเท่านั้น…นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเกมรับของ ลิเวอร์พูล ในช่วงก่อนปิดเบรกทีมชาติ

ลิเวอร์พูล, Liverpool, หงส์แดง

หลังจากกลับมาลงสนามตั้งแต่ช่วงพฤศจิกายนเป็นต้นมาจะเห็นได้ว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถยกระดับทีมได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ โดย 4 เกมทุกรายการก่อนหน้าจะบุกเยือน โมลินิวซ์ สเตเดี้ยมหงส์แดง เสียไปเพียงลูกเดียวและยิงได้ถึง 14 ประตู

แน่นอนว่าเมื่อเจอกับทีมที่ฟอร์มร้อนแรงขนาดนี้ บรูโน ลาจ กุนซือของ วูล์ฟ จึงต้องมาในแผนที่รัดกุมและใช้เกมสวนกลับและลูกเซ็ตพีซเข้าสู้โดยมีความเร็วของปีกอย่าง อดามา ตราโอเร และความเฉียบคมของ ราอูล ฆิมิเนซ เป็นอาวุธ

นั่นจึงทำให้ลูกทีมของ คล็อปป์ ต้องเจอเกมที่อึดอัดและหวาดเสียวตลอด 90 นาที ซึ่งกว่าที่จะทำประตูชัยได้ก็ต้องรอจนล่วงเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 94 โดยตัวสำรองอย่าง ดิว็อค โอริกี

เพราะถ้าว่ากันถึงฟอร์มการเล่นของแต่ละตำแหน่งก็ต้องบอกว่าในบางจุดอาจจะไม่ได้อยู่ฟอร์มที่ดีเหมือนเกมก่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็น 3 กองกลางอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ และ ติอาโก้ อัลคันทารา ที่ฟอร์มตกลงไปเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเกมที่บุกไปถล่ม เอฟเวอร์ตัน 4-1 ไม่นับแผงกองหน้า 3 คนที่ประสานงานกันขาด ๆ เกิน ๆ แถมยังพลาดโอกาสสำคัญไปอีกหลายช็อต

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือการตัดเกมแดนกลางเพื่อปิดโอกาสในการทำเกมเค้าน์เตอร์แอทแทคของคู่ต่อสู้ก่อนที่บอลจะทะลุไปสู่แดนหลังและนำไปสู่การเสียประตู ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนที่พวกเขาถูกเล่นงานประจำก่อนหน้านั้น

ลิเวอร์พูล, Liverpool, หงส์แดง

สถิติที่บ่งบอกได้ดีคือ 2 กองกลางอย่าง ฟาบินโญ และ ติอาโก้ อัลคันทารา แย่งบอลสำเร็จรวมกัน 5 ครั้งต่างจากเกมที่เสมอ เบรนท์ฟอร์ด และแพ้ เวสต์แฮม ที่นักเตะ หงส์แดง มีสถิติที่ด้อยกว่าอย่างชัดเจน, นั่นจึงทำให้แผงเกมรับไม่ต้องเจองานหนักและทำหน้าที่ได้ดีตามมาตรฐาน แม้จะโดน อดามา ตราโอเร เผาอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ยังช่วยซ้อนช่วยรับกันอย่างไหลลื่นและแข็งแกร่ง

จากบทเรียนจากเกมที่ผ่านมาทำให้ทีมของ คล็อปป์ นั้นเล่นด้วยความรัดกุมมากขึ้นจนเจ้าบ้านมีโอกาสยิงตลอดทั้งเกมเพียง 3 ครั้งและตรงกรอบจน อลิสซอน ต้องออกแรงเซฟ 2 หนเท่านั้น

สิ่งเหล่านี้คือปัญหาที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ มองเห็นและจัดการแก้ไขในช่วงเบรกทีมชาติจนทำให้ ลิเวอร์พูล กลับมาคว้าชัยชนะติดต่อกัน 5 เกมในทุกรายการและยิงไปทั้งหมด 15 ประตูเสียไปเพียงประตูเดียวพร้อมเก็บได้ 4 คลีนชีต

และชัยชนะเหนือ วูล์ฟแฮมป์ตัน ก็ถือเป็น 3 คะแนนที่สุดจะคุ้มค่า รวมทั้งยังเป็นบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นว่านายใหญ่ชาวเยอรมันสามารถยกระดับทีมของเขาขึ้นไปอีกขั้นเรียบร้อยแล้ว

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top