ลิเวอร์พูล – แมนยู กับ 5 ประเด็นหลังเกม “แดงเดือด” ที่จบแบบเจ๊าจืด

ลิเวอร์พูล – แมนยู หรือเกมที่แฟนบอลของทั้ง 2 ทีม เรียกติดปากกันว่า เกม แดงเดือด ซึ่งทัพนักเตะ ลิเวอร์พูล เป็นต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่พอสมควร ทั้งอันดับในตารางคะแนน ฟอร์มการเล่นปัจจุบัน สภาพความพร้อมของทีม และความได้เปรียบเสียงเชียร์จากการเล่นในถิ่น แอนฟิลด์ ต่อหน้าสาวก “เดอะ ค็อป”

พลพรรค หงส์แดง กลับฟอร์มฝืดอย่างไม่น่าเชื่อ และทิ้งโอกาสทองไปมากมาย ทั้งที่ครองบอลบุกผู้มาเยือนเกือบตลอดทั้งเกม แต่ก็ไม่สามารถเจาะตาข่ายทีม “ปีศาจแดง” ได้ และนี่ 5 ประเด็นที่ต้องพูดถึง หลังจากที่ลูกทีมของ คล็อปป์ ทำผลงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายอีกหนึ่งเกม

1. ความคาดหวังที่สวนทางกับความเป็นจริง ในเกม ลิเวอร์พูล – แมนยู

ลิเวอร์พูล - แมนยู

ลิเวอร์พูล ครองบอลได้เยอะก็จริง และการประสานงานทั้งฝั่งขวาของ โดมินิค โซบอสไล, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ดูเหมือนจะเล่นบอลหลายจังหวะกันจนเกินไป ขณะที่ฝั่งซ้าย หลุยส์ ดิอาซ และ คอสตาส ซิมิกาส ก็ไม่ได้เข้าขากันมากนัก ซึ่งทำให้ช่องว่างที่จะเจาะแนวรับ แมนฯ ยูไนเต็ด ถูกปิด และแนวรุกของ “หงส์แดง” ก็ไม่มีจังหวะอันตรายในการลุ้นประตู

ขณะเดียวกัน นักเตะ ลิเวอร์พูล ขาดความเฉียบคมในพื้นที่สุดท้ายกันไปเอง และดูหงุดหงิด ที่ไม่สามารถทำประตูทีมเยือนได้ ซึ่งส่งผลให้หลาย ๆ คน เร่งจังหวะของตัวเองจนเกร็ง และเกิดข้อผิดพลาด เมื่อได้โอกาสครั้งสำคัญ

ลิเวอร์พูล ต้องทำให้ดีกว่านี้ ในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ การเคลื่อนที่ และการตัดสินใจว่า จะยิงประตูในจังหวะได้ และน่าเสียดาย ที่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะทีมของ เอริก เทน ฮาก ได้

2. วาตารุ เอนโด สอบผ่านกับการลงเล่นในเกม ลิเวอร์พูล – แมนยู

วาตารุ เอ็นโด

โซบอสไล ลงสนามเป็น 11 คนแรกทุกเกม ในเกมลีกฤดูกาลนี้ และแสดงให้เห็นว่า เป็นการเซ็นสัญญาที่โดดเด่นในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่ในช่วงหลัง ดาวเตะชาวฮังการี ฟอร์มไม่สม่ำเสมอนัก และมักจะโดนเปลี่ยนตัวออก ในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของเกมเป็นประจำ

ขณะที่ ไรอัน กราเฟ่นแบร์ก ก็ดูจะเงียบ ๆ เช่นกัน และถึงแม้จะพยายามครองบอลเพื่อช่วยทีม แต่ก็ไม่สามารถสร้างผลกระทบได้มากนัก และสุดท้าย มิดฟิลด์ชาวฮอลแลนด์ ก็โดนเปลี่ยนตัวออกหลังจากที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บ

แม้ โซบอสไล และ กราเฟ่นแบร์ก จะเล่นไม่ออก, แต่ วาตารุ เอนโด พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สามารถรับมือกับการเล่นในเกม “บิ๊กแมตช์” ได้แบบไม่มีปัญหา โดยห้องเครื่องกัปตันทีมชาติญี่ปุ่น ยืนปักหลักหน้าแผงแนวรับได้อย่างแข็งแกร่ง ตลอด 90 นาที คุมจังหวะเกมยอดเยี่ยม และยังมีจังหวะตัดบอลสวย ๆ อีกหลายครั้ง

3. การเปลี่ยนแปลงแท็คติคที่ไม่ได้ผล

เยอร์เก้น คล็อปป์

หลังจากที่ครึ่งแรก ลิเวอร์พูล แทบจะหาจังหวะจะแจ้ง ในการจบสกอร์ไม่ได้, คล็อปป์ ควรตัดสินใจเปลี่ยนตัวตั้งแต่พักครึ่ง แต่กุนซือชาวเยอรมัน เลือกเปลี่ยนตัวสำรองช้าไป จนล่วงเลยมาถึงนาทีที่ 61 ซึ่ง โจ โกเมซ กองหลังชาวอังกฤษ ลงมายืนเป็นแบ็คขวา กับ โคดี กัคโป หัวหอกชาวดัตช์ ที่มาทำเกมแดนกลาง แทนที่ของ โซบอสไล และ กราเฟ่นแบร์ก ที่เล่นไม่ออก

คล็อปป์ ก็ทำการเปลี่ยนแปลงระบบ จาก 4-3-3 มาเป็น 4-2-4 โดยใช้  กัคโป และ หลุยส์ ดิอาซ ทำเกมริมเส้น พร้อมกับขยับ ซาลาห์ ไปตรงกลาง เพื่อช่วย ดาร์วิน นูนเญซ และให้ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยืนแดนกลางร่วมกับ เอ็นโด

หลังจากไม่ได้ผล คล็อปป์ จึงตัดสินใจทิ้งไพ่ 2 ใบสุดท้าย ด้วยการให้โอกาสกับ 2 ผู้เล่นดาวรุ่ง อย่าง เคอร์ติส โจนส์ กับ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ลงมาแทน ดิอาซ และ นูนเญซ ในนาทีที่ 78

แต่ทั้ง 2 คน ก็ไม่สามารถสร้างผลกระทบใด ๆ ได้เลยในเกม ลิเวอร์พูล – แมนยู เนื่องจากมีเวลาน้อยเกินไป และ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ลงไปตั้งรับลึก หน้าบริเวณเขตโทษของตัวเองกันเกือบทั้งทีม

4. ปัญหาในแนวรุก ที่เริ่มส่งผลชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

ซาลาห์

การครองบอล การเพรสซิ่ง การแย่งบอลกลับมา และการป้องกันไม่ให้ แมนฯ ยูไนเต็ด สร้างสรรค์เกม ออกจากแดนของ ลิเวอร์พูล ทำได้ดีแล้ว แต่การจบสกอร์ ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามสำหรับทีมของ คล็อปป์

ซาลาห์ มีโอกาสยิงตรงกอบ 2-3 หน แต่มันก็เบาเกินไป และไม่ได้เข้ามุมมากนัก ขณะที่ ดิอาซ และ นูนเญซ แทบไม่มีโอกาสสับไกเลย ส่วน กัคโป ก็มีโอกาสเยอะ หลังเปลี่ยนตัวลงมาในเกม แดงเดือด แต่ก็ยิงไปติดบล็อกผู้เล่นของ แมนฯ ยูไนเต็ด

ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูล มีความอดทนไม่เพียงพอ ที่จะเจาะแนวรับ แมนฯ ยูไนเต็ด โดย คล็อปป์ ก็ให้สัมภาษณ์หลังเกมว่า พลพรรค “หงส์แดง” เร่งจังหวะ และโยนบอลโด่งมากเกินไป ซึ่งผลสุดท้าย ทำให้ไม่สามารถยิงประตูผู้มาเยือนได้

คลิกดูสถิติในเกมแดงเดือด

5. ลืมเกมนี้ และสู้ต่อไปในนัดหน้า

ฟาน ไดจ์ค

หลังจากเกม ยูโรปา ลีก ที่บุกไปพ่าย รอยัล ยูเนี่ยน แซงต์ กิลลัวส์ 2-1 เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา คล็อปป์ เลือกใช้นักเตะดาวรุ่งลงสนาม, ส่วนผู้เล่นหลักได้กลับมาลงเล่นในเกม ลิเวอร์พูล – แมนยู อีกครั้ง และเป็นเกมแรกจาก 3 นัด ที่จะลงเล่นใน แอนฟิลด์ ติดต่อกัน

และในเกมต่อไป ลิเวอร์พูล จะเล่นในศึก ลีก คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ของกุนซือ เดวิด มอยส์ ช่วงกลางสัปดาห์

ก่อนที่ในวันเสาร์หน้า จะต้องทำศึกใหญ่ พบกับทีมจ่าฝูงอย่าง อาร์เซนอล ของ มิเกล อาร์เตต้า เทรนเนอร์ชาวสเปน ซึ่งมีแต้มห่างเพียงคะแนนเดียว โดยถือเป็นเกมที่สำคัญมาก ๆ สำหรับลูกทีมของ คล็อปป์

หาก 2 เกมต่อไป ลิเวอร์พูล สามารถเปิดบ้านเอาชนะ เวสต์แฮม และ อาร์เซนอล ได้ เชื่อว่า “หงส์แดง” จะกลับสู่โมเมนตั้มที่ดีอีกครั้ง และอาจทำให้พวกเขา มีลุ้นไล่ล่าความสำเร็จ ไปจนถึงช่วงท้ายของฤดูกาลก็เป็นได้


อ่านข่าวและบทความอื่นของ Redzone

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top