Liverpool vs Spur เกมบิ๊กแมตช์ในศึกพรีเมียร์ลีก นัดที่ 36 ประจำฤดูกาลที่ 2023/24 ของ ลิเวอร์พูล ซึ่งในเกมนี้ เหล่านักเตะของทีม หงส์แดง สามารถงัดเอาฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม ปราบผู้มาเยือนอย่าง ท็อทแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ได้อย่างราบคาบ หลังจากที่ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ชนะคู่แข่งติดต่อกันมาหลายนัดแล้ว
ภาพรวมการเล่นของ ลิเวอร์พูล ในเกมนี้ เปรียบเสมือนกับเครื่องจักรสีแดงสุดดุดัน มีความใกล้เคียงกับช่วงที่ทีมกำลังท็อปฟอร์มสุด ๆ และนี่คือ 5 ประเด็นหลังเกมที่น่าพูดถึงเป็นอย่างมาก
1. ลิเวอร์พูล เครื่องร้อนช้า
ในช่วงเริ่มเกม 5 นาทีแรก ดูเหมือนว่านักเตะของ ลิเวอร์พูล ยังตั้งสติกันไม่ได้ โชคดีที่ฝั่งของ สเปอร์ส เองก็ยังต่อเกมรุกกันไม่ติด และไม่สามารถสร้างความอันตรายให้แนวรับของ ลิเวอร์พูล ได้มากพอ แต่ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ พลพรรค “ไก่เดือยทอง” ได้ครองบอลบุกมากกว่า
อย่างไรก็ตาม, ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถกลับมาอยู่ในเกมของตัวเองอีกครั้งได้ เปิดฉากเล่นเกมรุก จนผู้มาเยือนต้องถอยลงไปรับในแดนตัวเอง ก่อนจะประตูขึ้นนำจากลูกโหม่งของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่ชาร์จระยะเผาขน ทำให้ ลิเวอร์พูล หนีห่างคู่แข่งไปถึง 2 ประตู ก่อนจบครึ่งแรก
เป็นอีกครั้งที่ ลิเวอร์พูล เครื่องร้อนช้า แต่ยังดีที่พวกเขาสามารถควบคุมเกมและสถานการณ์ไว้ได้ จึงไม่ต้องตกอยู่ในความกดดันมากนัก อีกทั้งความเฉียบขาดในเกมรุกที่กลับมา ก็ทำให้ทีมเล่นด้วยความสบายใจมากขึ้นในครึ่งเวลาหลัง
2. ผลงานของ โม ซาลาห์ ในเกม Liverpool vs Spur
การกลับมาเป็นตัวจริงของ “คิง ออฟ อียิปต์” ครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า เขาเป็นนักเตะระดับโลก เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในเกมรุกของ ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง ความเข้าใจเกม การอ่านเกม ความเฉียบขาด และการสร้างสรรค์โอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีมนั้น ยังเต็มไปด้วยคุณภาพเช่นเดิม
ซาลาห์ ดูกระหายสนามเป็นอย่างมาก ในทางกลับกัน เราก็ต้องเข้าใจ คล็อปป์ ด้วยว่า ทำไมถึงดร็อปเจ้าตัวในบางเกม ซึ่งในวัย 31 ปี เขาไม่สามารถลงเล่นแบบติดต่อกันได้หลาย ๆ นัดอีกแล้ว และหากบริหารเวลาให้เหมาะสม มันจะเป็นประโยชน์มหาศาลสำหรับทีม
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ซาลาห์ ยังคงเป็นนักเตะแนวรุกที่อันตรายที่สุดในทีม ลิเวอร์พูล ชุดปัจจุบัน และหากซีซันหน้าเขายังอยู่กับทีมต่อไปนั้น ประสบการณ์ของเจ้าตัว จะช่วยผู้จัดการทีมคนใหม่ได้อย่างมากมาย
3. สเตฟาน บาย์จเซติช ลงสนามในเกม Liverpool vs Spur
อาการบาดเจ็บระยะยาวของ โจเอล มาติป และปัญหาสภาพร่างกายของ อิบราฮิมา โกนาเต้ เป็นเหตุผลหลักที่ จาเรลล์ ควานซาห์ ได้ก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ และปฎิเสธไม่ได้เลยว่า กองหลังวัย 21 ปี ทำผลงานได้ดีกว่ากว่าที่หลายคนคาดคิดเอาไว้
ขณะเดียวกัน ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ก็สร้างผลกระทบในแดนกลางให้กับทีมได้อย่างน่าประทับใจ และผลงาน 1 ประตู กับ 1 แอสซิสต์ รวมถึงพลังงานที่แสดงให้เห็นตลอดทั้งเกมนั้น กองกลางมากพรสวรรค์รายนี้ มีอนาคตที่สดใสรออยู่ ในปีหน้าอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ แข้งดาวรุ่งที่แฟนบอลหลายคนกำลังรอคอยอย่าง สเตฟาน บาย์จเซติช หวนกลับมาสู่ทีมอีกครั้งในรอบหลายเดือน และได้ลงสนามไปราว ๆ 30 นาที โดยดาวเตะชาวสเปน ยังแสดงให้เห็นถึงคลาสบอล และสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าเดิมอีกด้วย
4. การรักษาฟอร์มการเล่นให้สม่ำเสมอ
ปัญหาที่ชัดเจนของ ลิเวอร์พูล ที่ทำให้พวกเขาหมดลุ้นแชมป์รายการสำคัญในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมานั้น มันคือเรื่องความสม่ำเสมอ และอย่างที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เคยกล่าวไว้ว่า ทีมเวอร์ชั่น 2.0 ยังต้องปรับปรุง และสามารถพัฒนาต่อไปได้อีก ในมือของทีมสต๊าฟฟ์โค้ชชุดใหม่
ทีมชุดนี้ยังอยู่ในช่วงถ่ายเลือด และนักเตะแกนหลักส่วนใหญ่อย่าง เอลเลียตต์, โคดี กัคโป, ดาร์วิน นูนเญซ, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, ไรอัน กราเฟนแบร์ก, เคอร์ติส โจนส์, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โกนาเต้ และ ควานซาห์ ก็ยังไม่มีใครอายุเกิน 25 ปี
ผู้จัดการทีมคนใหม่จะมีวัตถุดิบชั้นดีอยู่ในมืออยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่า เขาจะปรุงแต่ง ลิเวอร์พูล เวอร์ชั่น 2.0 ออกมาได้ดีเพียงใด
5. เหลืออีก 2 เกมสุดท้ายเท่านั้น ในยุค เยอร์เก้น คล็อปป์
ว่ากันในเชิงคณิตศาสตร์, ทีม ลิเวอร์พูล ยังคงสามารถลุ้นคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ โดยเหลือการแข่งขันอีกสองนัด แต่ในความเป็นจริง มันแทบไม่มีโอกาสแล้ว และหากมองถึงเกมที่แพ้ให้กับ คริสตัล พาเลซ รวมถึง เอฟเวอร์ตัน ก็คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
ความสมบูรณ์แบบ เป็นสิ่งที่ทุกทีมต้องการ และการพลาดถ้วยรางวัลคงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ หากเราพ่ายแพ้ให้กับทีมที่ดีกว่า แต่ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว และไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ ซึ่งสาวก “เดอะ ค็อป” ควรมีความสุขกับ 2 เกมสุดท้ายในยุคของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ให้มากที่สุด