แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านถล่ม ลิเวอร์พูล ไปด้วยสกอร์ 4-1 สำหรับแฟนบอลหงส์แดงแล้ว คงไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะโดนเจ้าบ้านไล่ถล่มเละเทะจนหาทางกลับบ้านไม่ถูกอย่างนี้เป็นแน่
หงส์แดง ถือเป็นทีมที่มีสถิติในการเจอกับทีมท็อปซิกซ์ของตารางที่ดีที่สุด โดยลงเล่นไป 7 นัดชนะ 5 แพ้ 2 ในขณะที่ ซิตี้ เล่นไป 8 นัดชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 3 หรือแม้แต่ อาร์เซนอล ทีมจ่าฝูงก็ยังตามมาเป็นอันดับ 3 ด้วยสถิติแข้ง 7 ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 2
หากแต่เหตุผลที่ทำให้ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องมาดิ้นรนเพื่อการคว้าโควต้า ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ก็เนื่องจากว่าไปทำแต้มหล่นกับทีมท้ายตารางมากไปหน่อย ผิดกับทั้ง แมนฯ ซิตี้ และ เดอะกันเนอร์ส ที่เก็บทีมเล็กได้เกือบหมด
ปกติแล้ว การเจอกับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา นั้น ถือว่า ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่สามารถสร้างความลำบากใจให้ได้มากที่สุดทีมหนึ่ง พิสูจน์ได้จากการเจอกันในเกมแรกที่ แอนฟิลด์ พวกเขาก็สามารถเอาชนะไปได้อย่างเจ็บแสบ จากลูกสวนกลับที่ถือเป็นทีเด็ด
เกมเมื่อคืนวันเสาร์ก็เกือบจะซ้ำรอยเดิม เมื่อเด็ก ๆ ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เตรียมตัวมาสู้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในช่วง 45 นาทีแรกที่พวกเขาถือว่าเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมโดยสามารถทำประตูขึ้นนำก่อนได้จาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ตัวแสบของเมืองแมนเชสเตอร์ ก่อนจะมาถูกตามตีเสมอในอีก 10 นาทีต่อมาและสกอร์จบลงที่เสมอ 1-1 ในครึ่งแรก
ในครึ่งหลังกลับเหมือนหนังคนละม้วน การเสียประตูตั้งแต่นาทีแรกและตามด้วยลูกที่ 2 ซึ่งห่างกันไม่ถึง 10 นาที ทำให้เครื่องจักรสีแดงช็อตไปดื้อ ๆ จากนั้นประตูที่ 4 ก็ตามมาและจบลงด้วยความพ่ายแพ้แบบสู้ไม่ได้ด้วยสกอร์ 4-1, และสิ่งที่น่านำมาขบคิดต่อไปก็คือ บทเรียนที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้รับจากความพ่ายแพ้แบบเอ้าท์คลาสเช่นนี้
ประการแรกคือ เราได้เห็นถึงคุณภาพเชิงลึกของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งทำให้ได้รู้ว่าการทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงนักเตะดี ๆ เข้ามาร่วมทีมนั้นมันมีความสำคัญมากขนาดไหน
ด้วยการทำ 1 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ของ แจ็ค กรีลิช ในเกมนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำได้ในการเจอกับ ลิเวอร์พูล หากย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อนที่ หงส์แดง โดน แอสตัน วิลลา ถล่มด้วยสกอร์ 7-2 วันนั้น กรีลิช ก็เป็นหัวใจสำคัญและเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในสนาม
ซึ่งฟอร์มที่โดดเด่นกับ วิลลา ทำให้ แมนฯ ซิตี้ มองว่า มันคุ้มค่าที่จะเสี่ยงลงทุน และพวกเขาก็พร้อมทำสถิติเพื่อซื้อของดีมีคุณภาพเช่นนี้เข้ามาสู่ทีม
ผลงานของ กรีลิช ในเกมนี้คือ ผลลัพธ์จากการยอมทุ่มเงินถึง 100 ล้านปอนด์เพื่อนักเตะเพียงคนเดียว แม้ว่าตอนที่ย้ายมาใหม่ ๆ หลายคนอาจจะมองว่าค่าตัวของแข้งรายนี้โอเวอร์เรตและเกินฝีเท้า แต่ในซีซันนี้มันเริ่มตอบแทนความคุ้มค่ากลับมาให้กับ แมนฯ ซิตี้ บ้างแล้ว และจุดนี้น่าจะช่วยให้ คล็อปป์ และ FSG ได้ฉุกคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับแผนการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์ด้วย
แม้ว่า กรีลิช จะยังไม่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักถาวรเหมือนกับ เควิน เดอ บรอยน์ ในแดนกลาง แต่เขาก็เป็นส่วนเติมเต็มให้กับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา และถ้ายิ่งได้รับโอกาสมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เชื่อว่าเจ้าตัวจะกลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมได้ในอีกไม่นาน
ต่างจากแผงมิดฟิลด์ของ ลิเวอร์พูล ที่ตอนนี้ไม่เหลือคราบของการเป็นทีมที่น่าเกรงขามและดุดัน พวกเขามักโดนเล่นงานจากทีมเล็ก ๆ เสมอในฤดูกาลนี้ เนื่องด้วยการมีตัวเลือกไม่มากพอ ตัวสำรองก็ไม่สามารถทดแทนได้ ทำให้ทั้ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ ต้องรับบทหนักกันอยู่ตลอดเวลา
ในเกมนี้ เราได้เห็น 2 แข้งจอมเก๋าโดนนักเตะเจ้าบ้านผ่านบอลไปมาเล่นลิงชิงบอลกันหลายจังหวะและโดนเจาะทะลุจากแดนกลางสู่แดนหลังได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะใน 45 นาทีหลัง แทบจะไม่หลงเหลือฟอร์มที่เคยยอดเยี่ยมเมื่อตอนเจอกับ ซิตี้ เมื่อ 3 ปีก่อนแต่อย่างใด
เรื่องที่สองที่เราได้เห็นจากเกมนี้คือ ความผิดพลาดซ้ำ ๆ ซาก ๆ จากแนวรับ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่านี่คือแผงแบ็คโฟร์ที่แทบจะเป็นชุดเดียวกับที่ทำให้ทีมไม่เสียประตูมา 5 นัดติดต่อกันจากการเจอกับ เอฟเวอร์ตัน (2-0), นิวคาสเซิล (2-0), คริสตัล พาเลซ (0-0), วูล์ฟ (2-0) และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (7-0) ก่อนที่จะมาโดน บอร์นมัธ เฉือน ไป 1-0 และมาโดน แมนฯ ซิตี้ ถล่ม 4-1 เมื่อวันเสาร์
5 นัดไม่เสียเลยซักประตูกับ 2 นัดเสียไป 5 ประตู มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้การมาเยือน เอติฮัด สเตเดี้ยม จะเปนเรื่องยากที่จะไม่เสียประตู แต่ด้วยฟอร์มการเล่นของกองหลังทั้ง 4 คนมันเป็นสิ่งที่แฟนบอลไม่น่าจะรับไหว
เทรนท์ ยังคงปล่อยให้คู่ต่อสู้วิ่งแซงหน้าเข้าไปทำประตู, ร็อบโบ้ ก็เติมเกมแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ (จากทวิตเตอร์ของ เจมี คาร์ราเกอร์), ฟาน ไดค์ นั้นดูเชื่องช้าเกินไปเมื่อเจอความเร็วของแนวรุกเจ้าบ้าน และ โคนาเต้ ที่ถือว่าฟอร์มดีที่สุดแต่ก็ยังมีการลุดตำแหน่งให้เห็นเป็นระยะ
นี่คือแผงกองหลังที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล และจะว่าไปด้วยอายุและประสบการณ์พวกเขาน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ซึ่งเกมที่จะพบกับ เชลซี ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ จะเป็นโอกาสในการกลับมาตั้งสติและแก้ตัวอีกครั้ง
จากผู้เล่นเท่าที่มีอยู่ก็ยังไม่น่าจะเพียงพอ โดยเฉพาะคำถามเรื่องฟอร์มการเล่นของ ฟาน ไดค์ และอนาคตของ โจเอล มาติป กับ โจ โกเมซ ดังนั้นในซัมเมอร์นี้ เยอร์เก้น คล็อปป์ และเจ้าของทีมก็คงต้องมองหาเซ็นเตอร์คนใหม่เข้ามาเสริมทัพเพื่อเพิ่มขุมกำลังเชิงลึกกันต่อไป
บางครั้งความผิดพลาดก็ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยการทำซ้ำเรื่อย ๆ จนชำนาญและเก่งขึ้น เพราะเท่าที่ดูจากนักเตะของ ลิเวอร์พูล ชุดนี้โดยเฉพาะในแดนกลางและแนวรับแล้วพวกเขาต้องการผู้เล่นหน้าใหม่ที่พร้อมเข้ามาทดแทนมากกว่า และต้องกล้าทุ่มเพื่อซื้อคุณภาพมากกว่าปริมาณด้วย
ขอบคุณผู้สนับสนุนหลัก ufabet