แมนยู vs ลิเวอร์พูล ล่าสุด กับ 5 ประเด็นหลังเกมแดงเดือดครั้งสุดท้ายของ คล็อปป์ 

แมนยู vs ลิเวอร์พูล ล่าสุด พรีเมียร์ลีก 2023-24

แมนยู vs ลิเวอร์พูล ล่าสุด ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ถือเป็นเกม แดงเดือด ครั้งสุดท้ายของกุนซือ เยอร์เก้น คล็อปป์ แต่ทีม ‘หงส์แดง’ กลับต้องเจอกับผลการแข่งขันที่น่าผิดหวัง หลังทำได้เพียงบุกไปเสมอคู่ปรับตลอดกาลอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์ 2-2 เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

แม้ ลิเวอร์พูล จะเป็นฝ่ายครองเกมได้มากกว่าอยู่ตลอด และมีโอกาสทำประตูมากมาย แต่ก็ยังคงไม่มีความเด็ดขาด แม้จะได้รับบทเรียนมาแล้วก่อนหน้านี้ในศึกเอฟเอ คัพ และผลลัพธ์ที่ตามมาคือ พลพรรค ‘หงส์แดง’ มีอันต้องหล่นจากตำแหน่งจ่าฝูงไปเรียบร้อยแล้ว  

1. เกมรุกที่ไม่เฉียบขาดในแมตช์ แมนยู vs ลิเวอร์พูล ล่าสุด

แมนยู vs ลิเวอร์พูล ล่าสุด

นี่เป็นอีกเกมที่ ลิเวอร์พูล นำโอกาสการทำประตูไปทิ้งขว้างอย่างน่าเสียดาย แน่นอนว่า มันทำให้ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ตกอยู่ในความกดดัน ต้องเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ในการมาเยือน แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด อีกครั้ง

ช่วงครึ่งแรก เจ้าบ้านไม่มีโอกาสลุ้นทำประตูเลยแม้แต่หนเดียว ในทางกลับกัน ลิเวอร์พูล มีโอกาสมากมาย แต่ยิงได้เพียงประตูเดียวเท่านั้น ยังไม่รวมถึงครึ่งเวลาหลัง ที่ ‘หงส์แดง’ เป็นฝ่ายครองเกมบุกได้มากกว่า แต่ตัดสินใจจังหวะสุดท้ายได้ไม่เด็ดขาดพอ

เยอร์เก้น คล็อปป์ กล่าวหลังจบเกมว่า “ผมอยากให้เราสัมผัสบอลแค่ 1-2 จังหวะ แล้วยิงประตูทันที หากเราละเอียดกว่านี้อีกสักหน่อยในบางสถานการณ์ แน่นอนว่าเราสามารถชนะได้ที่นี่”

2. ดาร์วิน นูนเญซ ไม่เด็ดขาดในสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตาย

ดาร์วิน นูนเญซ

หลังจากต้องดิ้นรนในช่วงปีแรกที่ แอนฟิลด์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ดาร์วิน นูนเญซ พัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างมากในฤดูกาลนี้ หลังจากโชว์ฟอร์มซัดไป 18 ประตู กับทำไป 13 แอสซิสต์ จาก 45 เกมรวมทุกรายการ พร้อมกับก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักในแดนหน้าได้เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผลงานในเกมนี้ของ นูนเญซ แสดงให้เห็นว่า เจ้าตัวยังต้องปรับปรุงอีกมากพอสมควรในจังหวะสุดท้าย และแน่นอนว่า ลิเวอร์พูล ก็ไม่ได้คาดหวังที่จะทุ่มเงินก้อนใหญ่จำนวน 85 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัวเขามาจากทีม เบนฟิก้า มาเพื่อเป็นตัวหมุนเวียนในเกมรุกเท่านั้น

ดาวยิงชาวอุรุกวัย วัย 24 ปี มีคุณสมบัติทุกอย่าง ในการก้าวขึ้นมาเป็นกองหน้าระดับโลก แต่สุดท้ายแล้ว จำนวนสกอร์ที่เขาทำได้คือบทสรุปว่า เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับ ลิเวอร์พูล หรือไม่

3. อิบราฮิมา โกนาเต้ คือ ผู้เล่นที่หลายคนคิดถึง

อิบราฮิมา โกนาเต้

ปราการหลังทีมชาติฝรั่งเศส มีชื่ออยู่บนม้านั่งสำรองที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ไม่ได้มีปัญหาเรื่องสภาพร่างกาย แต่สุดท้าย คล็อปป์ ตัดสินใจเลือก จาเรลล์ ควอนซาห์ เซ็นเตอร์แบ็คดาวรุ่ง ลงยืนเป็นตัวจริงคู่กับ เวอร์จิล ฟาน ไดจค์

ไม่ใช่ว่า ควอนซาห์ จะทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ หรือควรถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการทำผิดพลาด จนทำให้ทีมเสียประตู แต่มันจะดีกว่านี้หรือไม่?! หาก โกนาเต้ ที่มีประสบการณ์ในเวทีระดับสูงมากกว่า ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมนัดสำคัญแบบนี้

โกนาเต้ เป็นกองหลังมีความเร็วมากกว่า ควอนซาห์ อย่างชัดเจน ซึ่งหากได้ลงเล่นนั้น บางทีเกมโต้กลับไวของ แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะไม่ได้ผลแบบนี้

4. ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ยังคงทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ

ฮาร์วีย์ เอลเลียต

หากจะให้เอ่ยชื่อนักเตะ ลิเวอร์พูล เพียงคนเดียวที่เดินออกจาก โอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วยเสียงชื่นชม คน ๆ นั้นคือ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ โดยดาวเตะวัย 21 ปี ถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองในช่วงที่ทีมเป็นฝ่ายตามหลัง และสามารถเรียกจุดโทษ จนทำให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซัดลูกจุดโทษตีเสมอสำเร็จ

แม้จะยังอายุน้อย แต่ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ สร้างผลกระทบในเชิงบวกให้กับ ลิเวอร์พูล ได้อย่างมหาศาล ทั้งทักษะในการครองบอล เทคนิค ไหวพริบ และความเข้าใจเกมของเจ้าหนูรายนี้นั้น มันเกินผู้เล่นในวัยเดียวกันไปแล้ว และดูเหมือนว่า เขาสามารถพัฒนาไปได้มากกว่านี้อีก

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า หาก คล็อปป์ ตัดสินใจส่ง เอลเลียตต์ ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งแต่นาทีแรก ฝั่งทีมเยือนอย่าง ลิเวอร์พูล อาจได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้กลับออกไป

5. แผงกองกลางที่ต่ำกว่ามาตรฐานในเกม แมนยู vs ลิเวอร์พูล ล่าสุด

ลิเวอร์พูล

คล็อปป์ ตัดสินใจส่ง 3 กองกลางอย่าง อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, วาตารุ เอนโด และ โดมินิค โซบอสไล ลงประสานงานร่วมกัน เหมือนกับเกมที่ผ่าน ๆ มา และการเจอกับ 3 มิดฟิลด์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่าง คาเซมิโร่ ที่ร่างกายไม่สมบูรณ์, คอบบี้ ไมนู ที่เป็นดาวรุ่ง และ บรูโน แฟร์นันเดส นั้น แข้งมิดฟิลด์ของ “หงส์แดง” ควรทำได้ดีกว่านี้

แม็ค อัลลิสเตอร์ เป็นเพียงคนเดียวที่ทำผลงานโดดเด่น โดย เอ็นโด สกัดบอลได้ 2 ครั้ง จากการเข้าปะทะ 8 ครั้ง ส่วน โซบอสไล ตัดบอลได้เพียงครั้งเดียว จากการเข้าปะทะ 6 ครั้ง ซึ่งมองในภาพรวมแล้ว ลิเวอร์พูล ควรยกระดับเกมได้มากกว่านี้

โอลด์ แทรฟฟอร์ด เป็นสนามที่มีขนาดใหญ่ อาจไม่เอื้ออำนวยต่อการเล่นในสไตล์เพรสซิ่งของ ลิเวอร์พูล แต่มันไม่ใช่ข้ออ้างที่จะยกมาพูดถึง และการควบคุมเกมในแดนกลาง ก็กลายเป็นปัญหาของ คล็อปป์ ที่ต้องแก้ไขในช่วงท้ายของซีซัน


ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top