ลิเวอร์พูล ทีมดัง แห่งศึก พรีเมียร์ลีก ภายใต้การนำของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน กลับสู่ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมอีกครั้ง หลังจากเปิดสนาม แอนฟิลด์ ทุบเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 2-0 พร้อมสร้างความหวังในการลุ้นติดท็อปโฟร์มากขึ้น
ขณะเดียวกัน พลพรรค “หงส์แดง” ยังสร้างความยอดเยี่ยมต่อเนื่องด้วยการเก็บคลีนชีตในลีกได้ 4 เกมติดต่อกัน ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขาพอสมควร และนี่คือ 4 เรื่องหลัก ๆ ที่ควรพูดถึงหลังเกมถลกหนัง “หมาป่า”
1. แผงกองกลางใหม่ที่สมดุลย์ ลิเวอร์พูล ทีมดัง แห่งศึก พรีเมียร์ลีก
หลังจากผิดหวังกับฟอร์มการเล่นที่บุกไปเสมอกับ คริสตัล พาเลซ แบบโนสกอร์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา คล็อปป์ หันมาใช้แผงมิดฟิลด์ใหม่อีกครั้ง โดยให้โอกาสดาวรุ่งอย่าง สเตฟาน บาย์จเซติช และ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ จับคู่กันเป็นครั้งแรก และมี ฟาบินโญ่ ยืนเป็นห้องเครื่องอยู่ข้างหลัง
เกมกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน เรียกได้ว่า ฟาบินโญ่ กลับคืนฟอร์มถูกที่ถูกเวลาอย่างแท้จริง โดยดาวเตะแซมบ้า คอยปักหลักตัดเกมรุกทีมเยือนได้แทบทั้งหมด ควบคุมจังหวะ และมีการจ่ายบอลสวย ๆ ให้กับแนวรุกอยู่หลายครั้ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นฟอร์มที่ดีที่สุดในปีนี้ของเจ้าตัวก็ว่าได้
ขณะที่ เอลเลียตต์ ก็กลับมาทำผลงานได้น่าชื่นชมอีกครั้งในการช่วยสร้างสรรค์เกมรุกในพื้นที่อันตราย และเกือบจะทำประตูได้จากลูกโหม่ง ส่วน บาย์จเซติช ยังคงโดดเด่นอย่างต่อเนื่องในการเอาตัวรอดจากการโดนเพรสซิ่ง และคอยหาจังหวะเคลื่อนที่เพื่อเปิดช่องว่างได้อย่างยอดเยี่ยม
มันเป็นฟอร์มการเล่นโดยรวมของแผงมิดฟิลด์ที่ดีขึ้นจากเกมกับ พาเลซ แต่ทั้ง บาย์จเซติช, เอลเลียตต์ และ ฟาบินโญ่ เล่นด้วยกันเป็นเกมแรก จึงทำให้มีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม ยังทำให้แฟน ลิเวอร์พูล พอมองเห็นอนาคตกับแผงกองกลางชุดนี้
2. ผู้เล่นแนวรุกที่กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง
ในเกมนี้ ดาร์วิน นูนเญซ หายเจ็บกลับมาทันเวลาพอดีหลังจากเกมที่แล้วกับ พาเลซ ไม่ได้ลงสนาม เนื่องจากบาดเจ็บบริเวณหัวไหล่ และ ดิโอโก้ โชต้า ก็ได้ลงเป็นตัวจริงต่อเนื่องหลังบาดเจ็บไปนาน และดูเหมือนว่า ใกล้จะฟิตสมบูรณ์เต็มทีแล้ว แม้จะยังไม่เฉียบคมเหมือนเดิมก็ตาม
นูนเญซ ปั่นป่วนแนวรับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ได้ตลอดทั้งเกม และมีส่วนร่วมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเจ้าตัวซัดบอลเข้าประตูได้ด้วย แต่โดน VAR ริบประตูคืน ส่วน โชต้า ดูกระหายบอลอยู่เสมอ และทำได้ 1 แอสซิสต์ด้วยการเปิดให้กับ เวอร์จิล ฟาน ไดจค์ โหม่งเข้าประตู
ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ แม้จะยังดูเงียบ ๆ แต่ก็ยังทำได้ 1 ประตู และยังคอยทำหน้าที่เป็นคนประคอง นูนเญซ และ โชต้า ที่เพิ่งหายเจ็บกลับมาได้อย่างยอดเยี่ยม
3. อิบราฮิมา โกนาเต้ กลับมาทวงตำแหน่งตังจริงในแนวรับ
ฟาน ไดจค์ เพิ่งหายเจ็บกลับมา และต้องการคู่หูที่รู้ใจเพื่อมาช่วยแบ่งเบาภาระ ซึ่งช่วงที่ผ่านมา โจ โกเมซ และ โจเอล มาติป ฟอร์มหลุดกันไปดื้อ ๆ ขณะที่ โกนาเต้ โชคร้ายได้รับบาดเจ็บจนต้องพักยาวไปหลายสัปดาห์
ในนัดนี้ ปราการหลังชาวฝรั่งเศส เรียกความฟิตกลับมาพร้อมประจำการในแนวรับได้แล้ว และ คล็อปป์ ก็ไม่รอช้าด้วยการให้โอกาส โกนาเต้ ลงยืนคู่กับ ฟาน ไดจค์ ทันที ซึ่งทั้งคู่ก็ช่วยพา “หงส์แดง” เก็บคลีนชีตนัดที่ 4 ในลีกติดต่อกันได้สำเร็จ
โกนาเต้ ทำให้แนวรับของ ลิเวอร์พูล ที่ปั่นป่วน และโกลาหลในหลาย ๆ นัดที่ผ่านมานั้น มั่นคง และแข็งแกร่งขึ้น และหากไม่มีอะไรผิดพลาด ตัวเขาและ ฟาน ไดจค์ คงจะยืนเป็นตัวจริงจับคู่กันบัญชาการเกมรับไปจนจบฤดูกาลนี้
4. การไล่ล่าโควตา ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ที่ยังเปิดกว้าง ของ ลิเวอร์พูล ทีมดัง แห่งศึก พรีเมียร์ลีก
ตอนนี้ไม่มีประเด็นที่ต้องพูดถึงในเรื่องอื่นอีกแล้ว การคว้าอันดับ 4 เป็นเป้าหมายหลักของ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้ และการเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน ได้นั้น ก็ยังทำให้โอกาสของ “หงส์แดง” ยังคงเปิดกว้างอยู่ หากไม่ฟอร์มแผ่วไปเสียเอง
ปัจจุบัน ลิเวอร์พูล รั้งอันดับ 6 ในตารางคะแนน มีแต้มตามหลัง ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ทีมอันดับ 4 อยู่เพียง 6 คะแนน และแข่งน้อยกว่า 1 นัด และตามหลังทีมอันดับ 5 อย่าง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด อยู่ 2 แต้ม แต่แข่งมากกว่า 1 เกม
4 เกมหลังสุด ลิเวอร์พูล เก็บแต้มได้มากกว่า สเปอร์ส และในปีนี้ “หงส์แดง” เอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ไปแล้ว 2 เกม รวมถึงชนะ “ไก่เดือยทอง” 1 เกม และที่สำคัญ ลูกทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ จะต้องมาเยือนแอนฟิลด์ ในช่วงปลายเดือนเมษายน
หาก ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง และไม่ให้ สเปอร์ส รวมถึง นิวคาสเซิ่ล ทิ้งระยะห่างไปมากกว่านี้ บางทีช่วงปลายเดือนเดือนเมษายนเราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอันดับในตารางคะแนนก็เป็นได้