ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ยังคงอยู่ในฟอร์มการเล่นที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ หลังจากในเกม พรีเมียร์ลีก นัดล่าสุดบุกไปยันเสมอ เชลซี ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ 0-0 ซึ่งรายละเอียดในเกมเรียกได้ว่า “หงส์แดง” หลังพิงฝารอดตายอย่างหวุดหวิด
ดูเหมือนว่า ลูกทีมของ คล็อปป์ จะหมดไฟสำหรับการแข่งขันในช่วงโปรแกรมที่เหลือ และผู้เล่น ลิเวอร์พูล หลายคนอาจคิดถึงช่วงเวลาพักร้อนล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนี่คือ 5 เรื่องที่ต้องพูดถึงหลังเกมที่สุดแสนจะทรมานใจเหล่าสาวก “เดอะ ค็อป” อีกครั้ง
1. เยอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนตัวผู้เล่นครึ่งทีม แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น
ก่อนเกมกับ เชลซี พูดถึงความไม่พอใจที่ ลิเวอร์พูล บุกไปโดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไล่ถล่ม 4-1 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยอดีตนายใหญ่ ไมนซ์ และ โบรุสเซีย ดอร์มุนด์ บอกเป็นนัยว่า ทีมอาจต้องมีการเปลี่ยนแปลง
คล็อปป์ กล่าวว่า “เรามีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลง และเราต้องเปลี่ยนแปลงมัน เราไม่สามารถแค่หลับตาแล้วทำแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งสถานการณ์นี้ยังหมายความว่า ประตูเปิดกว้างสำหรับทุกคนที่จะเข้ามาสู่ทีม เพราะมีผู้เล่นเพียง 2-3 คนเท่านั้นที่มีตำแหน่งที่ปลอดภัย เด็กๆ รู้ดี นั่นคือสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกพวกเขา”
ด้วยเหตุนี้ 11 คนแรก ในเกมกับ เชลซี จึงมีการเปลี่ยนทีมครั้งใหญ่ อลิสซอน เบ็คเกอร์, อิบราฮิมา โกนาเต, ฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ดิโอโก โชต้า เป็นผู้เล่นที่ได้ออกสตาร์ต่อเนื่องจากเกมพ่าย แมนฯ ซิตี้
ขณะที่ บรรดาตัวสำรองในเกมที่แล้วอย่าง คอสตาส ซิมิกาส, โจเอล มาติป, โจ โกเมซ, เคอร์ติส โจน์, ดาร์วิน นูนเญซ และ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ ได้รับโอกาสจาก คล็ออป์ ให้กลับมาลงสนามออกสตาร์ทในเกมกับ เชลซี
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนนักเตะยกแผงไม่ได้ทำให้ ลิเวอร์พูล ดูดีขึ้นเลย โดยนักเตะ “หงส์แดง” ขาดทีมเวิร์ค และความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างหนัก รวมถึงยังแสดงให้เห็นช่องว่างมากมายไล่ตั้งแต่เกมรับ แดนกลาง และแนวรุก อีกด้วย
2. ฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่จากตัวสำรองที่ได้รับโอกาส
ซิมิกาส ที่ลงมายืนเป็นแบ็คซ้ายแทนที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แสดงให้เห็นอีกครั้งว่า ยังไม่ดีพอจะเป็นตัวจริงในเกมใหญ่ โดยแนวรับชาวกรีซ มีผลงานย่ำแย่ตลอดทั้ง 2 ครึ่ง และต้องโดนเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 66 ของเกม
มาติป ที่เป็นตัวจริงแทน เวอร์จิล ฟาน ไดจค์ ก็เอาตัวรอดไปได้อีกเกมในการยืนจับคู่กับ โกนาเต แต่ก็ไม่ได้มีฟอร์มการเล่นที่แข็งแกร่งนัก ส่วน โกเมซ ที่ได้เล่นแทน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็ยังมีจังหวะผิดพลาดให้เห็นเป็นระยะ
โจนส์ ที่ห่ายไปนานจากอาการบาดเจ็บกลับมาเกมนี้ก็ไม่มีอะไรโดดเด่น ขณะที่ ฟิร์มิโน่ ก็ไม่ใช่คนเดิมที่เราเคยรู้จักอีกแล้ว
3. ปัญหาเกมรุกที่ตื้อตัน
ดูเหมือนว่า ตอนนี้ไอเดียการเล่นเกมรุกของบรรดานักเตะ ลิเวอร์พูล จะไร้ทางออกสุดๆแล้ว โดยเห็นได้จากผลงานตลอด 4 เกมหลังสุดรวมทุกรายการ พวกเขายิงประตูคู่แข่งได้เพียงลูกเดียวเท่านั้น คือ ในเกมกับ แมนฯ ซิตี้
นูนเญซ, โคดี กัคโป และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดูเหมือนจะเริ่มเข้าใจกันมากขึ้นจากเกมที่เปิดรัง แอนฟิลด์ ถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 7-0 แต่หลังจากนั้น พวกเขาทั้ง 3 คน ฟอร์มหลุดหายไปดื้อๆ และกลายเป็นขาดประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง
ไม่เว้นแม้แต่กองหน้า โดยบรรดานักเตะในแผงกองกลางแทบครองเกมไม่ได้เลย ส่วนแบ็ค 2 ฝั่งอย่าง โรเบิร์ตสัน และ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่เคยมีจุดเด่นในการสร้างสรรค์เกมรุกนั้น ต่างก็พากันออกทะเลทั้งคู่
4. ตัวสำรอง และแท็คติคที่ไม่สามารถพลิกเกมได้
เกมกับ เชลซี กัคโป, ซาลาห์, โรเบิร์ตสัน และ เจมส์ มิลเนอร์ ถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรอง แต่ดูเหมือนว่า พวกเขายังจับจังหวะเกมไม่ได้ และแทบไม่ได้สร้างผลกระทบใด ๆ ตามที่ คล็อปป์ คาดหวังเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
ขณะที่ คล็อปป์ ก็แทบไม่ได้ออกมากระตุ้นลูกทีมแบบจริงๆจังๆ และไม่ได้ปรับแนวทางการเล่นให้ได้เปรียบ เชลซี และทุกอย่างมันกลายเป็นเฉื่อยชาไปหมด ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยที่ผลการแข่งขันจะจบลงแบบโนสกอร์
ตลอด 90 นาที คล็อปป์ ใช้เวลาส่วนใหญ่ในเกมนี้ไปกับความหงุดหงิด และเดือดดาลกับฟอร์มการเล่นของลูกทีม หลังจากนักเตะ ลิเวอร์พูล ขาดพลัง สมาธิ และแรงกระตุ้นอย่างชัดเจน
5. หลังจบเกมกับ อาร์เซนอล จะมีอะไรเหลือให้ลุ้นหรือไม่สำหรับทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ?
สุดสัปดาห์ที่จะมาถึง ลิเวอร์พูล แทบจะรู้แน่แล้วว่า การคว้าอันดับท็อปโฟร์ยังเป็นไปได้หรือไม่ โดยพวกเขาต้องเจองานหนักในการรับมือทีมจ่าฝูงที่ฟอร์มกำลังร้อนแรงอย่าง อาร์เซนอล ภายใต้การนำของ มิเกล อาร์เตต้า
ลูกทีมของ คล็อปป์ ได้เปรียบเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ การลงเล่นใน แอนฟิลด์ แต่ฟอร์มโดยรวม และความกระหายชัยชนะนั้น พวกเขาไม่สามารถสู้กับนักเตะ อาร์เซนอล ได้เลย ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะพ่าย “ปืนใหญ่” คาบ้าน
หาก ลิเวอร์พูล ไม่สามารถเก็ยแต้มจาก อาร์เซนอล ได้นั้น ก็แทบเป็นการปิดประตูบอกลา ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าอย่างเป็นทางการ