การลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก กลับมาอยู่ในมือของ ลิเวอร์พูล อีกครั้งหลังจากที่สถานการณ์พลิกผันไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เกมช่วงวันเสาร์ เดอะเร้ดส์ เปิดบ้านแซงกลับมาชนะ นอริช ซิตี้ ด้วยสกอร์ 3-1 ทำให้ตอนนั้นพวกเขาไล่จี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมจ่าฝูงจาก 9 เหลือ 6 คะแนน โดยรอลุ้นเกมคู่ถัดไปที่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา จะเล่นในรังของตัวเองพบกับ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์
แล้วผลการแข่งขันที่ออกมาก็เป็นใจให้กับลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เมื่อ แฮร์รี เคน จัดการเหมาทำสองประตูใส่ ซิตี้ พา ไก่เดือยทอง บุกไปเอาชนะได้อย่างสุดมัน 3-2 ทำให้ช่องว่างของคะแนนหยุดนิ่งที่ 6 แต้มเหมือนเดิม แถม หงส์แดง ยังแข่งน้อยกว่า 1 เกม
นั่นหมายความว่าในนัดวันพุธที่จะต้อนรับการมาเยือนของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ณ สนาม แอนฟิลด์ นั้นหากพวกเขาสามารถเก็บ 3 คะแนนได้สำเร็จก็จะลดช่องว่างลงเหลือเพียง 3 คะแนนจากการลงเล่น 26 นัดเท่ากันทันที
แต่ขุนพล สกายบลูส์ ยังสามารถทำแต้มหนีห่างออกไปได้อีก โดยพวกเขามีคิวจะพบกับ เอฟเวอร์ตัน ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ กูดิสัน ปาร์ค, ในขณะที่ หงส์แดง ไม่มีคิวเตะ พรีเมียร์ลีก เพราะจะต้องลงเล่นนัดชิงชนะเลิศ คาราบาวคัพ กับ เชลซี ในวันอาทิตย์ ก่อนที่จะกลับมาเตะบอลลีกอีกครั้งในนัดเปิดบ้านเจอ เวสต์แฮม วันที่ 5 มีนาคม
นี่คือสถานการณ์คร่าว ๆ ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าเกมที่ แมนฯ ซิตี้ พ่ายให้กับ สเปอร์ส นั้น ส่งผลให้สถานการณ์การลุ้นแชมป์กลับมาเปิดกว้างอีกครั้ง พร้อมกับจุดประกายความหวังให้กับสาวก หงส์แดง
นอกจากนี้ทั้ง 2 ทีมยังมีเกมที่จะต้องมาเจอกันในนัดที่ 32 ของฤดูกาล ในวันที่ 9 เมษายน โดย ลิเวอร์พูล จะบุกไปเยือน ซิตี้ ที่ เอติฮัด ซึ่งหากทั้งสองทีมยังคงเก็บแต้มมาได้เรื่อย ๆ การพบกันในเกมนี้จะเป็นอะไรที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม, นี่อาจจะไม่ใช่เกมสุดท้ายที่ทั้งคู่จะได้เจอกันในฤดูกาลนี้!
ในศึก UCL รอบน็อคเอ๊าท์นั้น หงส์แดง บุกไปเชือด อินเตอร์ ถึงถิ่น 2-0 ในขณะที่ เรือใบ ก็ไม่น้อยหน้า พวกเขาดาหน้าถล่ม สปอร์ติ้ง ที่โปรตุเกสไป 5-0 โอกาสสู่รอบ 8 ทีมจึงค่อนข้างสดใสทั้งคู่ และหากพวกเขาทำสำเร็จก็มีสิทธิ์ที่จะถูกจับมาเจอกันในรอบควอเตอร์ไฟนอลอีกด้วย
เป็นที่ทราบกันดีว่า ในรอบนี้จะไม่มีข้อห้ามเรื่องการเจอกันของทีมในลีกเดียวกันแล้ว การจับสลากจะเปิดกว้างและเราก็อาจจะได้เห็นดาร์บี้แม็ตช์ พรีเมียร์ลีก ก็เป็นได้
หากมันเกิดขึ้นจริง จะเป็นการรีแม็ตช์เมื่อซีซัน 2017-2018 อีกครั้ง ซึ่งทั้งคู่เคยเจอกันมาแล้วในรอบนี้ และเป็น เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่ทำดีกว่าพาทีมผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ
พร้อมกันนั้นจะถือเป็นการเจอกัน 3 นัดติดต่อกัน เพราะเกมรอบควอเตอร์ไฟนอลเลกแรกจะเล่นกันในวันที่ 5 และ 6 เมษายน และจะคั่นกลางด้วยเกม พรีเมียร์ลีก ที่ทั้งคู่จะต้องเจอกันในวันที่ 9 เมษายน ก่อนจะปิดท้ายด้วยเกมเลกสองในวันที่ 12 และ 13 เมษายน
ยังไม่นับเกม เอฟเอคัพ ซึ่งพวกเขาเจอคู่แข่งที่ไม่หนักมากในรอบ 5 ที่จะเล่นกันในต้นเดือนมีนาคม และหากยังทำผลงานได้ดีทะลุถึงรอบรองชนะเลิศก็มีสิทธิ์ที่จะมาเจอกันในวันที่ 16 และ 17 เมษายนห่างจากศึก แชมเปี้ยนส์ลีก รอบควอเตอร์ไฟนอลเพียง 4 วันเท่านั้น นั่นหมายความมีความเป้นไปได้ที่ ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ จะได้เจอกันในเดือนเมษายนถึง 4 นัด!
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องไปดูกันว่า 2 ยอดผู้จัดการทีมจะจัดทัพและขุมกำลังกันอย่างไร?!
อย่างไรก็ตาม, นั่นคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึงและเป็นเพียงการคาดการณ์คร่าว ๆ แต่กับสถานการณ์เช่นนี้ใช่ว่า หงส์แดง จะไม่เคยเจอมาก่อน เพราะในช่วงระหว่างซีซัน 2004-2005 ถึง 2008-2009 พวกเขาต้องเจอกับ เชลซี ทั้งในบอลลีกและบอลถ้วยรวมกันถึง 24 เกมมาแล้ว
ตอนนั้นลูกทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ ประสบความสำเร็จเพียงการคว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2005 และการได้รองแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในปี 2008 ซึ่งต่างจาก เยอร์เก้น คล็อปป์ โดยสิ้นเชิง
การขับเคี่ยวแย่งแชมป์กับ แมนฯ ซิตี้ เป็นไปอย่างสูสีในช่วง 3 ปีหลัง ทีมของนายใหญ่ชาวเยอรมันพลาดท่าโดยลูกทีมของ เป๊ป เฉือนเป็นแชมป์ลีกไปอย่างหวุดหวิดในซีซัน 2018-2019 แต่พวกเขาก็แก้ตัวด้วยการคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ในหลังจากนั้นแค่เดือนเดียว
ในขณะที่ซีซัน 2019-2020 ลิเวอร์พูล ก็ประกาศศักดาด้วยการก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก โดยทำแต้มทิ้งห่าง แมนฯ ซิตี้ ถึง 17 คะแนน ก่อนที่ เรือใบสีฟ้า จะมาเอาคืนเมื่อซีซันที่แล้ว
ส่วนในฤดูกาลนี้ผ่านมาเกินครึ่งทางทั้ง 2 ทีมยังคงบดบี้กันอย่างสนุก ซึ่งต้องยอมรับว่าในอีก 10 กว่าเกมที่เหลือทุกอย่างยังสามารถเกิดขึ้นได้
และคำตอบทุกอย่างคงจะถูกเฉลยในเดือนพฤษภาคมนี้….