เทรนท์ อเล็กซานเดอร์–อาร์โนลด์ กลายเป็นนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดในเกมที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ได้เมื่อคืนนี้ จากการทำ 1 แอสซิสต์ให้ ซาดิโอ มาเน ยิงประตูชัยในช่วงครึ่งแรก
นอกจาก 3 คะแนนสำคัญแล้วยังทำให้ เทรนท์ ทำสถิติ 17 แอสซิสต์ไปแล้วในทุกรายการ ทำลายสถิติ 15 แอสซิต์ของตัวเองที่เคยทำไว้เมื่อซีซัน 2018-2019 และ 2019-2020 เป็นที่เรียบร้อยทั้ง ๆ ที่เพิ่งอยู่ในเดือนมีนาคมเท่านั้นเอง
โดยจำนวนการทำแอสซิสต์ของแข้งวัย 23 ปีนับตั้งแต่ขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2016 มีดังนี้
20176-2017 : เล่น 7 นัด 0 แอสซิสต์
2017-2018 : เล่น 31 นัด 2 แอสซิสต์
2018-2019 : เล่น 40 นัด 15 แอสซิสต์
2019-2020 : เล่น 49 นัด 15 แอสซิสต์
2020-2021 : เล่น 45 นัด 9 แอสซิสต์
2021-2022 : เล่น 32 นัด 16 แอสซิสต์ (ยังไม่จบฤดูกาล)
แกรี เนวิลล์ กูรูฝีปากกล้าแห่ง สกายสปอร์ตและอดีตแบ็คขวาของทีมชาติอังกฤษและ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงกับเอ่ยปากชื่นชมว่า สไตล์การเล่นของฟูลแบ็ค หงส์แดง นั้นทำให้แฟนบอลมองตำแหน่งนี้เปลี่ยนไปจากเดิม พร้อมกับยกระดับความสำคัญไม่แพ้ตำแหน่งอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม, สิ่งหนึ่งที่ยังถือเป็น “จุดอ่อน” ของ เทรนท์ ที่มักถูกวิจารณ์อยู่เสมอในยามที่ ลิเวอร์พูล พลาดท่าให้แก่คู่แข่ง นั่นก็คือ “เกมรับ”
ย้อนกลับไปในเกมที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เบรนท์ฟอร์ด, ไบรท์ตัน และพ่าย เวสต์แฮม เมื่อช่วงต้นฤดูกาล แข้งวัย 23 ปีกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่ามีส่วนที่ทำให้ทีมไม่สามารถเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการได้ เนื่องจากเกมรับที่ย่ำแย่
แท็คติกของทั้ง 3 ทีมคือการใช้เกมโต้กลับโยนบอลยาวโจมตีไปที่เกมรับฝั่งขวาของ หงส์แดง ซึ่งตรงนั้นมีที่ว่างมหาศาลเพราะ เทรนท์ มักขึ้นเติมเกมจนสุดขอบสนามของอีกฝั่งทำให้ลงมาช่วยเกมไม่ทัน รวมทั้งทักษะในการดวลตัวต่อตัวกับคู่แข่งก็ไม่ดีเท่าที่ควร เมื่อโดนจี้บ่อย ๆ ก็มีจังหวะหลุด และมักเป็นที่มาของการเสียประตูเกือบทุกครั้ง
เยอร์เก้น คล็อปป์ เองก็รู้ว่านี่คือจุดที่คู่แข่งมักใช้เล่นงานทีมของเขา เราจึงเห็นได้ว่าบอส ลิเวอร์พูล มักใช้ผู้เล่นในแดนกลางไปช่วยอุดรูรั่วตรงนั้น ซึ่งช่วงหลังก็ดูจะได้ผลไม่น้อย
ซึ่งในเกมที่เฉือนเอาชนะ เวสต์แฮม เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมานั้น ดูเหมือนว่า เทรนท์ จะยกระดับเกมรับของตัวเองขึ้นไปอีกขั้น
เว็บไซต์ Whoscored เปิดสถิติเกมรับที่เกิดขึ้นตลอดทั้งเกมปรากฎว่า แบ็คขวา หงส์แดง คือคนที่โดดเด่นที่สุดด้วยการแท็คเคิล 1 ครั้ง, แย่งบอล 2 ครั้ง, เคลียร์บอล 1 ครั้งและบล็อคลูกยิง 1 ครั้ง พูดง่าย ๆ ว่าเขาทำทุกอย่างที่เป็นเรื่องของเกมรับ ซึ่งเป็นนักเตะเพียงคนเดียวของทีมที่มีสถิติครบแบบนี้
โดยเฉพาะจังหวะที่เคลียร์บอลออกจากเส้นจากการชิพของ ฟอร์นอล ในครึ่งแรก และการบล็อคลูกยิงของ มานูเอล ลานซินี ในครึ่งหลัง ซึ่งเป็น 2 ช็อตที่สำคัญอย่างมากต่อเกม จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ทำให้ เทรนท์ ได้รับรางวัล แมนออฟเดอะแม็ตช์ และทำให้ใครหลายคนมองว่า แบ็คขวาทีมชาติอังกฤษมีพัฒนาการในแง่ของเกมรับที่ดีขึ้น…แต่ไม่ใช่กับ เยอร์เก้น คล็อปป์
แน่นอนเขาก็มองว่าคู่ต่อสู้มักโจมตี ลิเวอร์พูล ทางฝั่งขวาอยู่บ่อย ๆ เช่นกัน แต่มันเป็นเพียงแท็คติกที่ถูกใช้ในการแก้เกม ไม่ใช่เพราะนักเตะเป็นจุดอ่อนที่สร้างปัญหาให้กับเกมรับของทีม
หลังจบเกมนายใหญ่ชาวเยอรมันยืนยันว่าสาเหตุที่เขาเลือก เทรนท์ ลงสนามในตำแหน่งแบ็คขวาเป็นเพราะเรื่องเกมรับ เพราะพื้นฐานของนักเตะในตำแหน่งนี้คือต้องเล่นเกมรับได้ดีเป็นอันดับแรก เขาจึงค่อนข้างงงเล็กน้อยที่มีคนตั้งคำถามกับการเล่นเกมรับของ อาร์โนลด์ มาตลอด
“ใช่ เขาทำให้ผมเซอร์ไพรส์ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยนสิ่งที่ผมพูดในคืนนี้ ถ้าเขาไม่สามารถเล่นเกมรับได้ เขาก็จะไม่ได้ลงเล่น อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตำแหน่งนี้”
“เขาพัฒนาขึ้นในทุก ๆ ส่วน และแน่นอนรวมทั้งในเรื่องของเกมรับด้วย แต่เขายังเด็กซึ่งยังสามารถพัฒนาได้อีก และเขาต้องพัฒนาต่อไป ดังนั้นเรื่องเกมรับของเขานั้นไม่ใช่ปัญหาที่เรามี”
สิ่งที่ยืนยันคำพูดของ คล็อปป์ ได้เป็นอย่างดีคือ 24 จาก 27 เกมใน พรีเมียร์ลีก ที่ เทรนท์ ลงประจำการเกมรับฝั่งขวา เขามีส่วนช่วยให้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่เสียไปเพียง 20 ประตู ซึ่งน้อยที่สุดเป็นอันดับ 3 ของลีก เป็นรองแค่ เชลซี (18 ประตู) และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (17 ประตู) เท่านั้น
ดังนั้น ปัญหาของคู่แข่งคือจะหยุดเกมรุกจาก เทรนท์ อเล็กซานเดอร์–อาร์โนลด์ อย่างไรมากกว่า…