หลังจากปิดดีล คาลวิน แรมซีย์ แบ็คขวาดาวรุ่งชางสก็อตแลนด์ไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ข่าวการเสริมทัพของ ลิเวอร์พูล ก็เงียบสนิท แม้จะมีตัวละครทั้งหน้าใหม่หน้าเก่าเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ราฮีม สเตอร์ริง หรือ โอตาวิโอ แต่น่าจะเป็นที่ชัดเจนว่าหลังจากนี้จะไม่มีการซื้อนักเตะใหม่อีกแล้ว
การที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้ 3 ผู้เล่นใหม่เข้ามาเสริมทัพอย่าง ฟาบิโอ คาร์วัลโญ, ดาร์วิน นูนเญซ และ แรมซีย์ คิดเป็นตัวรุก 2 คน เกมรับ 1 คำถามต่อมาคือ เมื่อบวกกับตัวผู้เล่นเดิมที่มีอยู่จะเพียงพอต่อการไปสู้รบปรบมือกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และทีมอื่น ๆ ในการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลหน้าหรือไม่
ผู้รักษาประตู : อลิสซอน เบ็คเกอร์ และ ควีวิน เคลเลเฮอร์
ตำแหน่งนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะ “พ่อหมี” ยังยืนมือหนึ่งได้อีกยาว ๆ หลายปี ด้วยฟอร์มการเซฟที่มั่นคงและไว้ใจได้ สถิติการเก็บคลีนชีตได้มากที่สุดเมื่อฤดูกาลที่แล้วบ่องบอกถึงคุณภาพของเขาได้เป็นอย่างดี สมแล้วที่เป็นมือหนึ่งของโลกคนปัจจุบัน
ส่วนกำลังสำรองอย่าง “ลูกหมี” หรือ เคลเลเฮอร์ ได้ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าสามารถรับมือกับเกมใหญ่ได้อย่างไม่มีปัญหา เคยลงเล่นเป็นตัวจริงในศึก ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อ 2 ปีก่อน พร้อมด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ คาราบาวคัพ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ นี่จึงเป็นอนาคตของทีมอย่างไม่ต้องสงสัย และทำให้เพื่อนร่วมทีมอุ่นใจได้เมื่อยามไร้เงาของ อลิสซอน
กองหลัง : เวอร์จิล ฟาน ไดค์, โจเอล มาติป, แอนดรูว โรเบิร์ตสัน, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, อิบราฮิมา โคนาเต้, โจ โกเมซ, คอสตาส ซิมิคาส และ คาลวิน แรมซีย์
สำหรับแผงแบ็คโฟร์ตัวจริงไม่น่าจะมีปัญหา ทุกคนยังคงอยู่กับทีมครบครัน แม้ว่าอายุอานามจะเพิ่มขึ้นแต่การมีแบ็คอัพชั้นดีอย่าง โคนาเต้, โกเมซ และ ซิมิคาส ก็พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาสามารถก้าวขึ้นมาทดแทนพวกพี่ ๆ ได้อย่างไม่เคอะเขิน
สิ่งเดียวที่น่าเป็นห่วงคือ อาการบาดเจ็บ แต่เท่าที่ดูเมื่อซีซันที่ผ่านมา คล็อปป์ และทีมงานทำหน้าที่กันได้อย่างยอดเยี่ยม แผงหลังแทบไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องพักยาว เว้นแต่ช่วงท้ายฤดูกาลที่ VVD มีอาการเล็กน้อยและต้องพักเพื่อรักษาความสดในนัดชิง ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก
เชื่อว่าซีซันหน้าเราจะได้เห็นบทบาทของ โคนาเต้ และ ซิมิคาส มากขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่เก็บเลเวลเพิ่มเติมเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาและทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชม เผลอ ๆ หากพวกตัวจริงฟอร์มออกทะเลก็อาจมีสิทธิ์โดนแย่งตำแหน่งไปเลยก็ได้
กองกลาง : จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ, ติอาโก้ อัลคันทารา, นาบี เกอิต้า, เคอร์ติส โจนส์, ฮาร์วีย์ เอลเลียต, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, ไทเลอร์ มอร์ตัน และ เจมส์ มิลเนอร์
นี่คือตำแหน่งที่แฟนบอลรู้สึกกังวลมากที่สุดเพราะด้วยอายุที่มากขึ้นและอาการบาดเจ็บที่รุมเร้าของบรรดาแข้งตัวจริง อีกทั้งสถิติการยิงประตูอันน้อยนิด ทำให้มีหลายคนอยากเห็น คล็อปป์ ดึงนักเตะใหม่ที่ใช้งานได้เลยเข้ามาเสริมทัพ หากแต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรคืบหน้า
ดังนั้นในซีซันหน้าจึงเป็นโอกาสที่พวกแข้งดาวรุ่งอย่าง โจนส์, เอลเลียต และ มอร์ตั้น จะได้ลงเล่นมากขึ้น และเป็นการพิสูจน์ตัวเอง (อีกแล้ว) ของ เกอิต้า และ แชมเบอร์เลน ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วไลน์อัพเหล่านี้ก็ไม่ได้น่าเกลียด เพราะพวกเขาก็เคยได้รับโอกาสลงสนามเมื่อซีซันก่อนอย่างถ้วนหน้าและทำหน้าที่ได้น่าพอใจในระดับหนึ่งด้วย
หากแต่เมื่อมองไปที่ แมนฯ ซิตี้ ที่ได้ คาลวิน ฟิลลิปส์ เข้ามาเสริมทัพ มันเลยอดคิดไม่ได้ว่าตัวที่มีอยู่จะต้านทานแชมป์เก่ายังไงไหว แต่ในอีกมุมหนึ่ง ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่เน้นทีมเวิร์ค และพวกเขาก็เล่นกันมานาน เข้าขารู้ใจกันเป็นอย่างดี ไหนจะบรรดาเด็ก ๆ ก็ถูกดันขึ้นมาเสริมทัพรุ่นพี่อย่างต่อเนื่อง ขุมกำลังตรงนี้น่าจะพอลุยกันได้
กองหน้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน, ดิโอโก้ โชต้า, หลุยส์ ดิอาซ, ดาร์วิน นูนเญซ และ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ
การเสีย ซาดิโอ มาเน และ ทาคุมิ มินามิโนะ ไปและได้ ดาร์วิน นูนเญซ กับ คาร์วัลโญ เข้ามาอาจจะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าแข้งเหล่านี้จะทดแทนตัวเก่าได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ถือว่า คล็อปป์ และทีมงานได้เตรียมตัวรับมือกับเรื่องนี้มาแล้วในระดับหนึ่ง
คาดการณ์กันว่าอาจมีการนำแผน 4-2-3-1 เข้ามาใช้เพื่อรองรับสไตล์ของ นูนเญซ แต่คงไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือเพราะระบบ 4-3-3 นั้นลงตัวอยู่แล้ว แผนใหม่อาจจะเป็นออปชันเวลาเกมตื้อตันหรือเอามาใช้ในเกมที่ต้องการรับมือกับคู่แข่งบางรายเท่านั้น
การเติมกองหน้าอุรุกวัยเข้ามาถือเป็นการแก้ไขปัญหาเรื่องการใช้โอกาสเปลืองเมื่อซีซันก่อน และเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บที่น่าสนใจ ในขณะที่ โชต้า, ซาลาห์ และ ดิอาซ ก็ยังคงเป็นตัวอันตรายในแดนหน้า ซึ่งเมื่อมองจากไลน์อัพที่มีต้องยอมรับว่าแผงแนวรุกของ ลิเวอร์พูล ในเวลานี้สามารถต่อกรได้กับทุกทีมใน พรีเมียร์ลีก อย่างแน่นอน