ตลาดซื้อขายของ ลิเวอร์พูล ในรอบนี้ดูจะลงตัวทุกอย่าง ตั้งแต่การทำข้อตกลงการย้ายทีมล่วงหน้ากับ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ ดาวรุ่งของ ฟูแลม เมื่อเดือนพฤษภาคม การคว้าตัว ดาร์วิน นูนเญซ รวมทั้ง คาลวิน แรมซีย์ ที่จบลงภายในเดือนมิถุนายน ซึ่ง 2 ใน 3 ได้ร่วมลงซ้อมช่วงพรี-ซีซันกับทีมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในแง่ของการขายออก หงส์แดง จัดการทำธุรกิจกับ บาเยิร์น มิวนิค ในรายของ ซาดิโอ มาเน ได้เบ็ดเสร็จ ส่วน ทาคุมิ มินามิโนะ ก็ใช้เวลาไม่นานในการย้ายไป โมนาโก และที่โบกมือลาไปก่อนเพื่อนอย่าง ดิว็อค โอริกี ก็เปิดตัวกับ เอซี มิลาน เรียบร้อย นอกนั้นมีข่าว เนโก้ วิลเลียมส์ ที่กำลังจะไป น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และการปล่อยยืม แน็ท ฟิลลิปส์ ให้กับ บอร์นมัธ อีก 1 ซีซัน ซึ่ง 2 รายหลังไม่ได้มีผลต่อการเตรียมทีมซักเท่าไหร่
ดังนั้น จึงทำให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถเดินหน้าเตรียมทีมชุดใหญ่ได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องการติดต่อซื้อขาย ส่วนจะใช้แผนไหน 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 ก็ว่ากันในการฝึกซ้อม
อย่างไรก็ตาม, แฟนบอล ลิเวอร์พูล ก็ยังกังวลเรื่องการเสริมทัพในแดนกลางอยู่พอสมควร โดยเฉพาะเมื่อมีการเปรียบเทียบขุมกำลังกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาดูจะเสียเปรียบอยู่ไม่น้อย
แม้ว่าซีซันที่แล้ว คล็อปป์ จะค้นพบสูตรแดนกลางที่ลงตัว นั่นคือ ติอาโก้-ฟาบินโญ-เฮนเดอร์สัน และผลงานการลุ้น 4 แชมป์ก็เป็นข้อพิสูจน์ที่ดี หากแต่ในรายละเอียดคือ มีเพียง “หมอปลา” เพียงคนเดียวที่ยืนระยะได้นานกว่าเพื่อน ส่วนอีก 2 รายนั้นสลับกันหายหน้าเพราะโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีคำถามว่าแล้วซีซันหน้า แผงห้องเครื่องชุดนี้จะยังไหวหรือไม่
เท่าที่สำรวจจากข่าวที่ออกมาดูเหมือนว่านายใหญ่ชาวเยอรมันจะไม่ได้รู้สึกกังวลเรื่องนี้เท่าไหร่ เขาพร้อมให้โอกาสนักเตะตัวสำรองและแข้งดาวรุ่งในซีซันใหม่ ทั้งการเตรียมต่อสัญญากับ นาบี เกอิต้า การประกาศว่า อ็อกซ์เลด จะไม่ย้ายไปไหน และการยกให้ เคอร์ติส โจนส์ และ ฮาร์วีย์ เอลเลียต เป็นความหวังและอนาคตของทีม
ที่สำคัญคือข่าวการวางแผนดึง จู้ด เบเลลิงแฮม มาเสริมทัพในซัมเมอร์หน้า ยิ่งทำให้หลายคนมองว่า คล็อปป์ จะไม่เสริมทัพแดนกลางในตลาดรอบนี้อย่างแน่นอนแล้ว
อย่างไรก็ดี, สิ่งที่ตอกย้ำความมั่นใจในเรื่องนี้ลงไปอีกก็คือ ผลการทดสอบการตรวจกรดแลคติก หรือ Lactate test และปีนี้เป็น เจมส์ มิลเนอร์ ที่เข้าวินเป็นอันดับหนึ่งอีกครั้ง ซึ่งเขาครองแชมป์การทดสอบนี้มาแล้ว 7 ปีติดต่อกัน พูดกันง่าย ๆ ว่าแข้งวัย 36 ปีคือคนที่ฟิตพร้อมที่สุดในทีม
นั่นหมายความว่า “น้ามิล” พร้อมที่จะลงสนามเพื่อเป็นอะไหล่ชั้นดีในทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ในขณะที่ครองสถิตินักเตะที่อายุเยอะที่สุดในทีมไปด้วย
คล็อปป์ มักยกย่อง มิลเนอร์ ว่าเป็นผู้เล่นที่ถือเป็นแบบอย่างและมีประโยชน์กับทั้งในและนอกสนาม เขาส่งอดีตแข้ง แมนฯ ซิตี้ ลงเป็นตัวจริงอย่างสม่ำเสมอในตั้งแต่ตอนที่ย้ายมาคุม ลิเวอร์พูล ใหม่ ๆ ซึ่งเจ้าตัวเพิ่งจะมาตกเป็นตัวสำรองเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาด้วยวัยที่มากขึ้นและการย้ายมาของบรรดาแข้งหนุ่มหลายราย
มีอยู่ซีซันหนึ่งที่นายใหญ่เมืองเบียร์ถึงกับใช้ “น้ามิล” ไปเล่นเป็นแบ็คซ้ายเกือบทั้งฤดูกาล ก่อน แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน จะแจ้งเกิดได้สำเร็จ แม้กระทั่งเมื่อซีซันที่ผ่านมาเจ้าตัวยังถูกโยกไปเป็นแบ็คขวามาแล้วในบางเกม
ในช่วงหลัง มิลเนอร์ อาจไม่ได้ลงสนามเป็นตัวจริงทุกนัด แต่เขาคือนักเตะที่ คล็อปป์ ชื่นชอบ ด้วยความเป็นมืออาชีพสูง ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่งอแง พร้อมช่วยเหลือทั้งในและนอกสนาม ที่สำคัญคือสภาพความฟิตดีเยี่ยม จึงไม่น่าแปลกใจที่เจ้าตัวจะได้รับสัญญาใหม่อีก 1 ปี
สิ่งนี้ทำให้ผู้จัดการทีม หงส์แดง มั่นใจลึก ๆ ว่า แดนกลางของเขาพร้อมชนทุกทีม แม้จะไม่หวือหวายิงประตูได้เยอะ แต่พวกเขามีแบบฉบับการเล่นเป็นของตัวเอง โดยมี เจมส์ มิลเนอร์ ที่พร้อมสแตนด์บายทุกสถานการณ์ รอแค่ จู้ด เบลลิงแฮม ที่จะเข้ามาเป็นโปรเจ็คแห่งอนาคตในซีซันหน้า ทุกอย่างก็จะสมบูรณ์แบบ
เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าดาวเตะวัย 36 จะขยับไปอยู่ในทีมสตาฟฟ์ หรือยังมีไฟที่จะค้าแข้งต่อไปอีกซักปี หรือโบกมืออำลาอาชีพที่เขารัก เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านี่คือ นักเตะที่ทรงคุณค่าที่สุดคนหนึ่งในยุคของ เยอร์เก้น คล็อปป์