หลังจบเกมที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ อาร์เบ ไลป์ซิก ไปได้ 5-0 เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลายคนมุ่งประเด็นไปที่การถล่มประตูของ ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าคนใหม่ที่ย้ายมาจาก เบนฟิก้า ด้วยค่าตัว 85 ล้านปอนด์ (รวมแอดออน) ซึ่งยิงคนเดียวไปถึง 4 ประตูหลังจากที่ปืนฝืดมา 2 นัดติดต่อกัน
ดาวยิงวัย 23 ปีถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองในครึ่งหลัง ในขณะที่ หงส์แดง นำอยู่ 1-0 จากการยิงของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งสตาร์อุรุกวัยก็ใช้เวลาไม่นานในการทำประตูแรกได้จากลูกจุดโทษ และจากนั้นก็เป็นรายการ One man show ยิงรวดเดียวเพิ่มอีก 3 ประตู
อย่างไรก็ตาม, สาระสำคัญของชัยชนะที่เกิดขึ้นนั้นคงไม่ใช่แค่การระเบิดฟอร์มของดาวยิงราคาแพงคนนี้ หากแต่ในมุมมองของ ดีทมาร์ ฮามันน์ อดีตกองกลางจอมคลาสสิคของ ลิเวอร์พูล ชุดแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก 2005 เชื่อว่ามันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการกลับมาไล่ล่าแชมป์เหมือนที่พวกเขาเคยทำมาเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
ย้อนกลับไปในช่วงเดือนสุดท้ายก่อนปิดซีซัน หงส์แดง คือทีมเดียวในยุโรปที่มีลุ้นถ้วยทุกใบ พวกเขาเป็นแชมป์ คาราบาวคัพ และ เอฟเอคัพ มาก่อนหน้านั้น เหลือเกม 2 นัดสุดท้ายในการตัดสินแชมป์ พรีเมียร์ลีก และ แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งหากทำสำเร็จจะถือเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ
หากแต่พวกเขาไปไม่ถึงฝั่งฝันโดยพลาดท่าชวดแชมป์ใหญ่ทั้ง 2 รายการ แม้จะได้เป็นดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วย แต่หลายคนก็มองว่านี่คือความล้มเหลวเมื่อดูจากฟอร์มการเล่นอันแข็งแกร่งและโดดเด่น
นั่นคือสิ่งที่ทำให้ ฮามันน์ รู้สึกกังวลเมื่อเข้าสู่ช่วงพรี-ซีซัน เขากลัวว่าลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะออกอาการหมดไฟหรือถึงทางตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจบเกมที่พ่าย เรอัล มาดริด ไป 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยใหญ่ของยุโรปอย่างสุดเจ็บปวดทั้ง ๆ ที่เล่นดีกว่าตลอดทั้งเกม
“ผมรู้สึกว่ามันจะมีผลทางด้านจิตวิทยา มันยากที่จะดึงพวกนักเตะให้กลับมาฮึดสู้กันอีกครั้ง เพราะในสัปดาห์สุดท้ายของฤดูกาลคุณมีโอกาสที่จะคว้า 4 แชมป์ ซึ่งมันจะเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งมาก แต่โชคร้ายที่พวกเขาทำไม่ได้”
“ความพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก นั้นเป็นเรื่องเจ็บปวด เพราะจริง ๆ แล้วผมไม่อยากจะบอกกว่า เรอัล มาดริด ก็ต้องการแชมป์เหมือนกัน แต่ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ แม้ว่ารูปเกมจะดีกว่า แต่สุดท้ายคุณก็ต้องรอจนกระทั่งฤดูกาลใหม่เริ่มต้น”
อย่างไรก็ดี, เกมที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ อาร์เบ ไลป์ซิก ได้ในนัดล่าสุดนั้นก็ทำให้ ฮามันน์ เปลี่ยนความคิดไป จากการได้เห็นฟอร์มของนักเตะ สภาพจิตใจ และผลการแข่งขัน ซึ่งเขามองว่าทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กลังกลับมาอยู่ในจุดที่พร้อมจะลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัวอีกครั้ง
“ผมค่อนข้างประหลาดใจพอสมควร ผมต้องพูดแบบนั้น พวกเขาออกสตาร์ทกันได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะ ไลป์ซิก มีเกม ชาริตี้ชิลด์ หรือ ซูเปอร์คัพ (เกมที่เอาแชมป์ บุนเดสลีกา มาเตะกับแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล เพื่อหาผู้ชนะเหมือน คอมมูนิตี้ชิลด์) รออยู่ในสัปดาห์หน้า และพวกเขาก็มีเวลาเตรียมตัวนานกว่าด้วย ซึ่งการที่ ลิเวอร์พูล สามารถเอาชนะมาได้ถึง 5-0 นั้นมันเป็นการบอกอะไรบางอย่างกับเรา”
นอกจากข้อกังวลเรื่องสภาพจิตใจแล้ว การเสีย ซาดิโอ มาเน ไปให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยราคา 40 ล้านปอนด์นั้นก็มีส่วนที่ทำให้หลายคนมองว่า ลิเวอร์พูล อาจจะไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิม แต่ ฮามันน์ มองเรื่องนี้ว่าการได้ ดาร์วิน นูนเญซ เข้ามาร่วมทีมก็ถือเป็นการเสริมทัพที่น่าสนใจไม่น้อย และการยิงได้ถึง 4 ประตูนั้นทำให้เขามองเห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของแผงแนวรุกยุคใหม่ของ เยอร์เก้น คล้อปป์ อีกด้วย
“พวกเขาได้ผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมเข้ามาร่วมทีม แต่มันน่าสนใจว่า นูนเญซ นั้นจะเล่นเข้ากับระบบได้มากขนาดไหน เพราะเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมาก็มาจาก 3 ประสานที่ยอดเยี่ยมในแดนหน้าอย่าง ซาลาห์, มาเน และ ฟีร์มีโน พวกเขาช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกัน ซึ่งมันจะต่างจากรณีของ นูนเญซ”
“เห็นได้ชัดว่าทั้ง 3 คนต้องการยิงประตู ต้องการเป็นจุดสนใจ แต่พวกเขาละทิ้งความต้องการนั้นเพื่อเล่นเป็นทีม ซึ่งมันจะไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป กรณีของ นูนเญซ นั้นเราต้องรอดูว่าทีมจะเปลี่ยนไปขนาดไหน แต่ถ้าให้ผมพูดในตอนนี้ เขาค่อนข้างดูดีทีเดียว”
สิ่งที่ ฮามันน์ ต้องการสื่อก็คือ ลิเวอร์พูล กำลังเข้ารูปเข้ารอยขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ได้ร่วมซ้อมกันอย่างเต็มที่ และการเข้าฝักของดาวยิงอุรุกวัยก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดีของทีมก่อนที่จะเปิดฤดูกาลใหม่
เหลืออีกไม่ถึงสัปดาห์บทพิสูจน์สำคัญของ หงส์แดง กำลังจะมาถึงในการดวลกับแชมป์ พรีเมียร์ลีก อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึก คอมมูนิตี้ชิลด์ และเมื่อถึงเวลานั้นเราก็จะพอมองเห็นภาพราง ๆ ว่าพวกเขาพร้อมขนาดไหนกับการกลับมาลุ้นแชมป์อีกครั้ง