การขาย ซาดิโอ มาเน ไปให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยค่าตัวประมาณ 35 ล้านปอนด์นั้น ต้องยอมรับว่าเป็นการสูญเสียหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของ ลิเวอร์พูล ในยุครุ่งเรือง พร้อมกับนำมาซึ่งความกังวลว่าทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะยังคงแข็งแกร่งและมีศักยภาพพอที่จะลุ้นแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และทีมระดับท็อปอื่น ๆ หรือไม่ในฤดูกาลหน้า
เมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว หงส์แดง เพิ่งบอกลานักเตะที่ย้ายเข้ามารุ่นเดียวกับดาวยิงเซเนกัลอย่าง จีนี ไวจ์นัลดุม ซึ่งก็ถือเป็นผู้เล่นคนสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งที่ขับเคลื่อนความสำเร็จในยุคของนายใหญ่ชาวเยอรมันเช่นกัน
หากแต่มันมีความแตกต่างจากการสูญเสีย มาเน โดยสิ้นเชิง…
มีข้อถกเถียงกันว่าสตาร์วัย 30 ปีคือผู้เล่นคนสำคัญของ ลิเวอร์พูล ในช่วงที่ผ่านมา การจ่ายเงินระดับ 34 ล้านปอนด์เพื่อกระชากตัวจาก เซาแธมป์ตัน นั้นนำมาซึ่งความบางสิ่งที่สามารถยกระดับทีมให้แข็งแกร่งขึ้นมาอยากผิดหูผิดตาจากเดิม
สิ่งที่พิสูจน์ได้ดีก็คือ ในซีซันแรกของเขาในถิ่น แอนฟิลด์ นั้นเจ้าตัวสามารถพาทีมกลับไปเล่นในศึก ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ และปีต่อมาก็มีส่วนช่วยพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ก่อนจะคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ในซีซันต่อจากนั้น
ส่วนฤดูกาลที่ดีที่สุดของ ซาดิโอ มาเน น่าจะเป็นซีซัน 2019-2020 ที่ เดอะเร้ดส์ สามารถล้างอาถรรพ์คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ครั้งแรกได้สำเร็จและเป็นแชมป์ลีกที่รอคอยมา 30 ปี และในปีสุดท้ายภายใต้สีเสื้อแดงเพลิงเขาก็ยังคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยในประเทศได้ถึง 2 รายการ
เรียกได้ว่า มาเน ก้าวถึงจุดสูงสุดเท่าที่นักฟุตบอลคนหนึ่งจะทำได้แล้ว เขาได้มาทุกแชมป์ แม้แต่แชมป์ฟุตบอลระดับทวีปอย่าง แอฟริกา คัพ ออฟ เนชันส์ ซึ่งเป็นที่มาของประโยคที่ว่า “ผมต้องการหาความท้าทายใหม่ ๆ”
ส่วนหนึ่งสร้างความเสียดายที่ทีมต้องเสียหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดไป แต่อีกด้านหนึ่งก็อาจจะเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนแปลงและเป็นเรื่องดีสำหรับทุกฝ่ายด้วยเช่นกัน
ด้วยการย้ายเข้ามาของ หลุยส์ ดิอาซ, ฟาบิโอ คาร์วัลโญ และ ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าค่าตัว 85 ล้านสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสร สามารถรับประกันได้อย่างหนึ่งว่าการหายไปของ มาเน จะไม่ส่งผลต่อ ลิเวอร์พูล มากนัก
ด้วยการย้ายเข้ามาของ หลุยส์ ดิอาซ, ฟาบิโอ คาร์วัลโญ และ ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าค่าตัว 85 ล้านสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสร สามารถรับประกันได้อย่างหนึ่งว่าการหายไปของ มาเน จะไม่ส่งผลต่อ ลิเวอร์พูล มากนัก
จริงอยู่ที่การเสียดาวยิงระดับเวิลด์คลาสอย่าง มาเน ถือเป็นความเสียหายต่อทีม แต่ในทางกลับกันการได้แข้งรุ่นใหม่เข้ามาก็น่าจะทำให้แฟนบอลรวมทั้ง เยอร์เก้น คล็อปป์ ตื่นเต้นกับอนาคตที่รออยู่ข้างหน้าได้ไม่น้อย
และนี่คือเหตุผลที่ทำไม ลิเวอร์พูล จะยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แม้ไร้ชื่อของ ซาดิโอ มาเน ในฤดูกาลหน้า
แนวรับแน่นปึ๊ก ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
เรื่องที่เซอร์ไพรส์แฟนบอลอย่างหนึ่งคือการต่อสัญญากับ โจ โกเมส ได้สำเร็จ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าเจ้าตัวอาจจะต้องย้ายทีมหลังจากที่ได้รับโอกาสจำกัดจำเขี่ยเมื่อซีซันที่ผ่านมา โดยต้องตกเป็นตัวสำรองของตัวสำรองอย่าง อิบราฮิมา โคนาเต้ ด้วยซ้ำ แถมยังถูกจับไปเล่นแบ็คขวาแทน เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อีกต่างหาก ทำให้หลายคนเชื่อว่าจบฤดูกาลนี้แข้งวัย 25 ปีต้องย้ายทีมแน่ ๆ เพื่อโอกาสในการลงสนามและการไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่กาต้าร์ปลายปีนี้
แต่กลายเป็นว่า โกเมส ได้สัญญาใหม่แบบชื่นมื่นกันทุกฝ่าย นั่นหมายความว่าจะทำให้ ลิเวอร์พูล ยังคงมีเซ็นเตอร์แบ็คฝีเท้าดีอยู่ในทีมถึง 4 คนเหมือนเมื่อซีซันก่อน ไม่ต้องไปเสียเวลาตามหานักเตะคนใหม่แต่อย่างใด
นอกจากนี้ปัญหาด้านแบ็คขวาก็ถูกกำจัดลงเรียบร้อยด้วยการได้ คาลวิน แรมซีย์ มาจาก อเบอร์ดีน ซึ่งเจ้าหนูนี่ได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ สก็อตติช พรีเมียร์ลีก พ่วงมาด้วย ในขณะที่ คอสตาส ซิมิคาส สอบผ่านเรียบร้อยและพร้อมที่จะแย่งตำแหน่งแบ็คซ้ายกับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ได้ตลอดเวลา
สำหรับตำแหน่งผู้รักษาประตู อลิสซอน เบ็คเกอร์ ยังคงเป็นมือหนึ่งและ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ก็พร้อมทำหน้าที่แทนทุกเมื่อ
มองไปที่แนวรับทั้งตัวจริงและตัวสำรองแล้ว แทบไม่มีช่องโหว่ใด ๆ ให้กังวลเลย
ความยืดหยุ่นในเกมรุกของ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ
คาร์วัลโญ โดดเด่นจากระบบ 4-2-3-1 ที่เล่นกับ ฟูแลม เมื่อซีซันที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นออปชันเสริมให้กับ เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้เลือกใช้เมื่อยามจำเป็นได้ด้วย
ยิ่งฟอร์มการเล่นในช่วงพรี-ซีซันยิ่งทำให้เห็นว่าแข้งโปรตุกีสรายนี้มีดีขนาดไหน เจ้าตัวสามารถเล่นในระบบ 4-3-3 ของ ลิเวอร์พูล ได้แม้จะยังไม่ชัดเจนเนื่องจากมีเวลาลงสนามจำกัด แต่ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับทีมได้มาก
คาร์วัลโญ สามารถประจำการด้านซ้ายในระบบกองกลาง 3 ตัว และถูกดันขึ้นไปเล่นเป็นเพลย์เมคเกอร์หลังกองหน้าตัวเป้าได้ แถมยังแอบถ่างออกไปเล่นริมเส้นด้านบนในบางจังหวะ คล้าย ๆ กับ ฟิลิปเป้ คูตินโญ ซึ่งเป็นทางเลือกให้นายใหญ่ หงส์แดง ได้เลือกใช้ได้หลายทางด้วย
แนวรุกตัวใหม่แทบยกชุด
ลิเวอร์พูล เริ่มการปฏิวัติชุดกองหน้าของพวกเขาตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เริ่มจากการเข้ามาของ ดิโอโก้ โชต้า จากนั้นตามมาด้วยการได้ หลุยส์ ดิอาซ มาร่วมทีมเมื่อเดือนมกราคม และรายล่าสุด ดาร์วิน นูนเญซ ที่ย้ายเข้ามาสวนทางกับการจากไปของ ซาดิโอ มาเน
หลายคนอาจมองว่าแข้งอุรุกวัยคือคนที่มาแทนดาวยิงเซเนกัล แต่จริง ๆ แล้ว ดิอาซ ต่างหากที่เป็นตัวแทนในริมเส้นฝั่งซ้าย ในขณะที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน ค่อย ๆ ถูกลดบทบาทลงไปนับตั้งแต่ที่ได้ โชต้า มาจาก วูล์ฟแฮมป์ตัน
พวกเลือดใหม่อย่าง นูนเญซ กับ คาร์วัลโญ กลายเป็นความหวัง บวกกับแข้งที่มารอก่อนหน้านี้ทั้ง โชต้า และ ดิอาซ ไหนจะตัวเก๋าอย่าง โม ซาลาห์ ที่เพิ่งต่อสัญญาใหม่และ บ็อบบี้ ฟีร์มีโน ซึ่งน่าจะยังอยู่กับทีมต่อไป นี่คือหน้าตาของแนวรุกยุคใหม่ของ ลิเวอร์พูล ในการสู้ศึก พรีเมียร์ลีก ซีซันใหม่นี้
ดูแล้วเกมรุกของ หงส์แดง น่าจะมีสไตล์ที่แตกต่างไปจากเดิม พร้อมกับความยืดหยุ่นและหลากหลายมากขึ้น….อยากให้เปิดฤดูกาลเร็ว ๆ จังเลย