ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล คือทีมที่มีแนวรุกที่ได้รับการยอมรับว่าอันตรายที่สุดทีมหนึ่งของยุโรป ด้วยการประสานงานของ 3 ประสาน SMF อย่าง โม ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน พร้อมทั้งพาทีมคว้าแชมป์อย่างมากมายทั้ง ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก พรีเมียร์ลีก, ยูฟา ซูเปอร์คัพ, แชมป์สโมสรโลก, เอฟเอคัพ และ คาราบาวคัพ
นับเฉพาะเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา 3 คนนี้ยิงรวมกันได้ทั้งหมด 49 ประตู หากแต่ในช่วงซัมเมอร์นี้พวกเขาได้กลายเป็นเพียงอดีตไปแล้วหลังจากที่ มาเน ตัดสินใจย้ายไปยัง บาเยิร์น มิวนิค ด้วยค่าตัวประมาณ 40 ล้านปอนด์
ดังนั้นถ้า SMF ถูกสร้างโดย ไมเคิล เอ็ดเวิร์ด ผู้อำนวยการคนก่อนแล้วล่ะก็ จูเลียน วอร์ด ก็กำลังทำภารกิจในการสร้างแนวรุกยุคใหม่ให้กับทีมด้วยการดึง ดาร์วิน นูนเญซ เข้ามาเสริมทัพเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา เพื่อทำให้แน่ใจว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ จะยังมีแผงกองหน้าที่อันตรายที่สุดให้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม, การนำแข้งอุรุกวัยเข้ามาแทนที่การจากไปของดาวยิงเซเนกัล อาจไม่ใช่การเติมเต็ม 3 ประสานในแดนหน้าเพียงอย่างเดียว หากแต่มันคือการเปลี่ยนแปลงแนวทางในเกมรุกของทีมไปจากเดิมเหมือนที่เราเคยสัมผัสมา
เราคุ้นเคยดีกับการได้เห็น ซาลาห์ เป็นตัวหลักในการตะบันประตูให้กับ ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ที่ย้ายมาจาก โรมา เมื่อปี 2017 และคงจะเป็นแบบนั้นต่อไปในซีซันใหม่ที่กำลังจะมาถึง แต่การที่ไม่มี มาเน และ ฟีร์มีโน ก็เป็นคำถามว่าเขาจะเล่นกับ นูนเญซ อย่างไร
เมื่อดูจากองค์ประกอบหลายอย่างของดาวยิงวัย 23 ปี ทั้งสไตล์การเล่น การหาพื้นที่ได้ดี ครองบอลเหนียวแน่น รูปร่างที่สูงใหญ่ และการยิงประตูที่คมกริบ อาจทำให้นึกย้อนกลับไปสมัยที่ ซาลาห์ เล่นคู่กับ เอดิน เชโก้ ในทีม จัลโลรอสซี
สังเกตได้ว่าตั้งแต่กองหน้าวัย 30 ปีลงเล่นในถิ่น แอนฟิลด์ เขายังไม่เคยได้เล่นกับพวกกองหน้าตัวเป้าหรือหมายเลข 9 แบบตัวธรรมชาติโดยกำเนิดเลย ไม่ว่าจะเป็น ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ หรือ แดนนี อิงส์ ที่ได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง ส่วน ดิว็อค โอริกี ซึ่งส่วนใหญ่ลงสนามในฐานะผู้เล่นสำรอง
ในรายของ ฟีร์มีโน ก็ไม่ใช่หน้าเป้าโดยสายเลือด แต่เป็นการผสมผสานระหว่างฟอลส์ไนน์และเพลย์เมคเกอร์เสียมากกว่า ซึ่งแม้จะยิงประตูได้ไม่มาก แต่ก็มีประโยชน์ในการดึงตัวประกบและช่วยให้ปีก 2 ข้างมีโอกาสทำประตูคู่แข่งได้
อย่างไรก็ตาม, ทั้งหมดนี้ต่างจากตอนที่ ซาลาห์ เล่นให้กับ โรมา ที่ตอนนั้นใช้ระบบหน้าคู่แบบโบราณ โดยเจ้าตัวถูกจับมายืนเคียงข้าง เอดิน เชโก้ และทั้งคู่ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในซีซัน 2016-2017 ที่ถือเป็นจุดพีคของแข้งอียิปต์ซึ่งทำไปได้ 19 ประตูกับ 15 แอสซิสต์จากการลงสนาม 40 นัดในทุกรายการ
สังเกตได้ว่าที่กรุงโรมดาวเตะวัย 30 ปีไม่ใช่ทำสกอร์ให้กับทีมเท่านั้น แต่เขายังเป็นคนสร้างสรรค์เกมคอยเปิดป้อนให้หน้าเป้าอย่าง เชโก้ ได้สับไกอย่างต่อเนื่องด้วย แต่พอย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล สถิติการแอสซิสต์ก็ไม่ได้โดดเด่นเหมือนเดิม โดยมีเพียง 2 ฤดูกาลที่ทำได้เกิน 15 ครั้งคือในซีซัน 2017-2018 และซีซันล่าสุด 2021-2022 ที่ทำได้ 16 ครั้งเท่ากัน
มีการวิเคราะห์กันว่าเมื่อมี นูนเญซ อยู่ในทีมอาจทำให้ ซาลาห์ ได้กลับมาสัมผัสกับบรรยากาศเก่า ๆ เหมือนสมัยที่เคยเล่นที่ โรมา เพราะจะมีคนคอยค้ำอยู่ในแดนหน้า ครองบอลรอจังหวะเติมเกมรุกริมเส้น และเปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมเข้ามาสร้างความอันตรายในกรอบเขตโทษได้
การมีกองหน้าหมายเลข 9 ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้จะมีประโยชน์ในการดึงศักยภาพการสร้างสรรค์เกมของดาวยิงไอยคุปต์ออกมา และยังอาจทำให้มีพื้นที่ในการเล่นมากขึ้น มีโอกาสที่จะยิงประตูได้มากกว่าเดิมอีกด้วย
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงเหมือน คล็อปป์ ได้กำไร 2 ต่อ เพราะนอกจากเขาจะได้กองหน้าที่ยิงประตูได้อย่างเฉียบคมอย่าง นูนเญซ เข้ามาร่วมทีแล้ว ยังทำให้ โม ซาลาห์ ยกระดับตัวเองให้กลายเป็นตัวริมเส้นที่ครบเครื่องต้มยำมากกว่าเดิมอีกต่างหาก
ไม่แน่เหมือนกันว่าแฟนบอล ลิเวอร์พูล อาจจะได้เห็น ซาลาห์ ในร่างที่เราไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนก็ได้….