ผลจากการแข่งขันในเกม คอมมูนิตี้ ชิลด์ ทำให้เราได้เห็นสภาพความพร้อมของ ลิเวอร์พูล ได้ชัดเจนมากขึ้นหลังจากที่ฟอร์มในเกมอุ่นเครื่องค่อนข้างกระท่อนกระแท่นพอสมควร
สถิติก่อนที่ หงส์แดง จะมาเจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึกชิงโล่การกุศลนั้นพวกเขาลงเล่นในเกมพรี-ซีซัน 4 นัด ชนะ 2 นัดต่อ คริสตัล พาเลซ (2-0) และ อาร์เบ ไลป์ซิก (5-0) และแพ้ 2 นัดให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (4-0) และ เร้ดบูล ซัลซ์บวร์ก (1-0) ยิงได้ 7 ประตูและเสียไป 5 ลูก
หลายคนอาจไม่พอใจกับผลที่ออกมา แต่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว ในช่วงปิดฤดูกาลเขาพยายามเรียกความฟิตและการทำความเข้าใจเรื่องแท็คติกการเล่นให้กับลูกทีมมากกว่าเน้นผลการแข่งขัน โดยเฉพาะพวกแข้งตัวหลักที่มักถูกส่งลงสนามเกมละ 30-45 นาที ก่อนจะมาจัดเต็มในนัดกับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
หากใครได้ตามดูเกมอุ่นเครื่องจะพบว่า หงส์แดง เล่นกันเหมือนเดิม พวกเขามีระบบที่ชัดเจน เน้นเกมเพรสซิงและการครองบอล มีการเข้าทำที่ฉาบฉวย ใช้เกมรุกจากริมเส้น ซึ่งเป็นแพทเทิร์นเดิม ๆ ที่ คล็อปป์ ใช้มา 3-4 ปีหลัง ซึ่งทุกคนไม่ว่าจะเป็นดาวรุ่งไล่ไปถึงพวกซูเปอร์สตาร์ก็เล่นกันแบบนี้หมด ต่างกันแค่เรื่องคุณภาพของแต่ละคนเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนดผลการแข่งขัน
เกมที่ออกไปพ่ายให้กับ เร้ดบูล ซัลซ์บวร์ก ทีมโดนยิงนำในครึ่งแรกจากความผิดพลาดของแผงหลังชุดสำรอง ก่อนที่นายใหญ่ชาวเยอรมันส่งแข้งตัวจริงลงสนามในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย และพวกเขาก็ไล่บดไล่อัดเจ้าถิ่นจนโงหัวไม่ขึ้น ขาดแค่ประตูเท่านั้น เพราะ ดาร์วิน นูนเญซ ได้ลงเล่นไปก่อนช่วงต้นเกมกับบรรดาแข้งตัวสำรองและพวกดาวรุ่ง
คล็อปป์ ค่อย ๆ เติมความฟิตให้นักเตะทีละเล็กละน้อยจนมาเกือบจะสมบูรณ์ในเกม คอมมูนิตี้ ชิลด์ ซึ่งเราได้เห็นระดับการเล่นที่แตกต่างจาก 4 นัดที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง
กลายเป็น แมนฯ ซิตี้ ที่ดูจะยังไม่เข้ารูปเข้ารอยซักเท่าไหร่ เนื่องจาก เป๊ป กวาร์ดิโอลา เพิ่งจะเรียกลูกทีมกลับมาเก็บตัวซ้อมเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมและลงเล่นในเกมอุ่นเครื่องไปแค่ 2 นัดเท่านั้น ทำให้พวกเขายังดูช้าไปบางจังหวะและขาดความเฉียบคม
อย่างไรก็ตาม แม้จะเจอกับคู่แข่งที่ยังไม่เต็ม 100 แต่ชัยชนะในเกมเมื่อวันเสาร์ก็ส่งสัญญาณด้านดีหลายอย่างให้กับ ลิเวอร์พูล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความฟิตและขวัญกำลังใจจากการได้แชมป์ เนื่องจากพวกเขาห่างหายจากการชูโล่การกุศลใบนี้มานานถึง 16 ปีเต็ม
ทุกคนดูมุ่งมั่นกับการแข่งขันและฉลองกันอย่างสุดเหวี่ยงหลังจากที่คว้าแชมป์ได้สำเร็จ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้รับการปลูกฝังจาก เยอร์เก้น คล็อปป์ มาอย่างต่อเนื่อง หรือหากเราจะเรียกว่ามันคือ “DNA ของผู้ชนะ” ก็ไม่ผิดนัก
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการได้แชมป์ครั้งนี้ยังเป็นการเรียกความเชื่อมั่นให้กับ ดาร์วิน นูนเญซ ที่ยิงประตูแรกอย่างเป็นทางการได้เลยในนัดแรกในฐานะตัวสำรอง และน่าจะช่วยคลายความกดดันได้มากโข ดูจากการแสดงความสะใจสุด ๆ กับกองเชียร์ถึงขนาดยอมเสียใบเหลืองจากการถอดเสื้อเลยทีเดียว
ท่ามกลางสัญญาณดี ๆ เหล่านี้เรายังได้เห็นรูปแบบการเล่นของ ลิเวอร์พูล ที่เปลี่ยนไปจากเดิมพอสมควรหลังการลงสนามของ นูนเญซ การทำเกมรุกขึ้นมาในบริเวณกรอบเขตโทษของคู่ต่อสู้ดูจะมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น และสร้างความสับสนให้กับแนวรับของ ซิตี้ อยู่ไม่น้อย เนื่องจากก่อนหน้านี้มีเพียง โม ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน ที่เป็นตัวอันตราย แต่ตอนนี้พวกเขามีกองหน้าตัวเป้าที่ไปรอบอลในกรอบ 6 หลา ซึ่งสามารถช่วยดึงความสนใจจากกองหลังได้ในหลายจังหวะ พร้อมทั้งสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีมได้มากขึ้นด้วย
ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าช่วงพรี-ซีซันของ เยอร์เก้น คล็อปป์ คือการเน้นไปที่เรื่องของความฟิตเป็นอันดับแรก พร้อมทั้งสอดแทรกแท็คติกและวิธีการเล่นใหม่ ๆ เข้าไปจนมากลมกล่อมลงตัวในเกม คอมมูนิตี้ ชิลด์ ก็คงจะไม่ผิดนัก หากแต่ยังมีรายละเอียดอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต้องปรับกันต่อไป ซึ่งเราน่าจะได้เห็นทีมที่เพอร์เฟ็คจริง ๆ ก็คงเป็นเดือนหรือสองเดือนหลังเปิดฤดูกาลไปแล้ว
แต่ตอนนี้หากจะบอกว่า ลิเวอร์พูล พร้อมแล้วสำหรับซีซันใหม่ก็คงไม่ผิดนัก…