การออกสตาร์ทที่ยอดเยี่ยมของ ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าค่าตัว 85 ล้านปอนด์นั้นถือได้ว่าเป็นนิมิตหมายอันดีในการเปิดศักราชล่าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้
ดาวยิงวัย 23 ปีถูกส่งลงสนามมาในช่วงกลางครึ่งหลังและมีส่วนกับ 2 ประตูทั้งการโหม่งบอลไปโดนแขนกองหลังของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จนทำให้ทีมได้จุดโทษ และลูกขวิดมหากาฬที่ทำประตูที่ 3 ปิดท้าย พา หงส์แดง คว้าแชมป์ คอมมูนิตี้ ชิลด์ ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี
การเริ่มต้นกับสโมสรใหม่เช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นการออกสตาร์ทในฝันของผู้เล่นที่เพิ่งย้ายทีมแทบทุกคน โดยเฉพาะกองหน้าที่ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการยิงประตู ซึ่ง นูนเญซ ก็ทำได้สำเร็จ ในขณะที่เส้นทางอันยาวไกลในฤดูกาลใหม่ยังคงรอเขาอยู่นับจากนี้
อย่างไรก็ตาม, ชีวิตการค้าแข้งของดาวเตะอุรุกวัยใช่ว่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป หากเทียบกับ เออร์ลิง ฮาแลนด์ กองหน้าคนใหม่ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แล้วอาจเรียกได้ว่าเหมือน ‘หนังคนละม้วน’
ดาวเตะนอร์วีเจี้ยนค่อย ๆ สั่งสมชื่อเสียงจากการยิงประตูให้กับ โมลด์ ในบ้านเกิดและมาได้รับความสนใจจากการระเบิดฟอร์มกับ เร้ดบูล ซัลซ์บวร์ก จากนั้นก็กลายเป็นเป้าหมายของทีมใหญ่ในยุโรปก่อนจะย้ายไป ดอร์ทมุนด์ ในเวลาต่อมา
เมื่อยกระดับขึ้นมาเล่นในบน 1 ใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป ฮาแลนด์ ก็ไม่ได้ทำให้แฟนบอลผิดหวัง เขายังคงพัฒนาฝีเท้าอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งยิงประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และท้ายที่สุดก็เป็น แมนฯ ซิตี้ ที่คว้าตัวมาล่าตาข่ายในลีกที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่าง พรีเมียร์ลีก เมื่อไม่กี่เดือนก่อน
ต่างจาก ดาร์วิน นูนเญซ ที่ถูกพูดถึงอยู่บ้างในช่วงต้นฤดูกาลที่แล้วจากฟอร์มการยิงประตูให้กับ เบนฟิกา แต่เพิ่งจะมาเป็นที่รู้จักอย่างจริงจังก็ในเกมที่พบกับ ลิเวอร์พูล ในศึก ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งแม้ว่าเหยี่ยวลิสบอนจะตกรอบ แต่เขาก็โชว์ฟอร์มยิงไป 2 ประตูต่อหน้า เยอร์เก้น คล็อปป์ และนั่นจึงเป็นที่มาของการย้ายมาป็นสมาชิกใหม่ในถิ่น แอนฟิลด์ ในเวลาต่อมา
แต่ใครจะรู้ว่าก่อนหน้านั้นแข้งวัย 23 ปีตกอยู่ในสถานการณ์ที่เกือบจะไม่ได้สวมสตั๊ดลงยิงประตูคู่แข่งอย่างที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้มาแล้ว
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ นูนเญซ อายุ 17 ปีซึ่งเริ่มต้นการเป็นนักเตะอาชีพกับ เปนารอล สโมสรยักษ์ใหญ่ของอุรุกวัย โดยในตอนนั้นเขาคือดาวเด่นของทีมเยาวชนจนทำให้ เฟร์นันโด คูรัทเชท ผู้อำนวยการอคาเดมีต้องการที่จะดึงเขาขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ทันที
แต่ด้วยการที่ทีมชุด U23 กำลังมีลุ้นแชมป์ระดับเยาวชนอยู่ ทำให้ คูรัทเชท จึงตัดสินใจที่จะยังไม่นำเจ้าหนู ดาร์วิน ขึ้นมาเล่นกับรุ่นพี่ โดยปล่อยให้ไปช่วยเพื่อน ๆ ทำภารกิจให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
การลงเล่นกับทีมชุดเล็กนี่เองที่ทำให้เขาเกือบที่จะต้องเลิกเล่นฟุตบอลในวัยเพียง 17 ปี โดยในเกมที่พบกับ ซุด อเมริกา ทีมคู่แข่ง มีจังหวะหนึ่งที่ นูนเญซ กระโดดขึ้นแย่งโหม่งกับกองหลังฝั่งตรงข้ามก่อนที่จะเสียจังหวะร่วงลงกับพื้นจนทำให้เกิดอาการบาดเจ็บอย่างหนักที่หัวเข่า ซึ่งทราบผลในเวลาต่อมาคือ อาการเอ็นไขว้หน้า (ACL) ฉีกขาด
นั่นทำให้เขาได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสและแทบจะเดินออกจากสนามไม่ได้
ขึ้นชื่อว่านักฟุตบอลการได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงและละเอียดอ่อนอย่างมาก และมันสามารถเป็นตัวกำหนดอนาคตการค้าแข้งของผู้เล่นได้เลย
คูรัทเชท ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในวันนี้กับทาง ดิแอตเลติก ว่า “ผมรู้สึกจุกในลำคอเมื่อรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น วันนั้นพื้นสนามมันแย่มาก และมันเป็นอาการบาดเจ็บที่ค่อนข้างรุนแรงซึ่งดันมาเกิดในช่วงเวลาที่สำคัญในชีวิตเขาพอดี”
เลอันโดร รามอส ซึ่งรับหน้าที่เฮดโค้ชของ เปนารอล เมื่อปี 2017 ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เพิ่มเติมว่า “เขาร้องไห้ทุกครั้งหลังจากที่ซ้อมเสร็จ มีครั้งหนึ่งที่ผมดึงเขาออกมาข้างสนามและถามว่ารู้สึกยังไงบ้าง เขาบอกผมว่าเขาอยากจะเลิกเล่นฟุตบอลและกลับไปที่ อาร์ติกาส (บ้านเกิดของ นูนเญซ)”
“เขาบอกว่าไม่สามารถรับมือกับความเจ็บปวดนี้ได้ เขารักการเล่นฟุตบอลแต่ก็ไม่สามารถทุ่มเทได้ 100% เพราะอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า มันหนักหนาเกินจะรับไหว เห็นได้ชัดว่าตอนนั้นเขารู้สึกมืดมนสุด ๆ”
แม้จะรู้เช่นนั้นแต่ รามอส ก็ปฏิเสธที่จะให้ นูนเญซ เลิกเล่น โดยหลังจากที่ได้เปิดอกคุยกันแบบพ่อกับลูก ดาวรุ่งชาวอุรุกวัยก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ และเขาก็ได้ลงเล่นกับทีมชุดใหญ่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2017 จากการผลักดันของเฮดโค้ช
อย่างไรก็ดี ดาร์วิน ก็ยังคงมีอาการเจ็บอยู่ ในขณะที่ผลการสแกนพบว่ากระดูกที่หัวเข่าของเขานั้นโตผิดปกติ ทำให้เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง ซึ่งการพบกับมีดหมอในครั้งนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นการชุบชีวิตการเล่นฟุตบอลของเขาขึ้นมาใหม่
เพราะหลังจากนั้นเจ้าตัวก็สามารถกลับมาลงสนามได้อีกครั้งในเดือนมิถุนายนในปีต่อมา หรือราว ๆ 1 ปีครั้งหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง โดยแข้งอุรุกวัยค่อย ๆ พัฒนาฝีเท้าจนได้รับความสนใจจาก อัลเมเรีย และถูก เบนฟิก้า ซื้อไปร่วมทีมในเวลาต่อมา ก่อนที่จะกลายเป็นนักเตะที่ค่าตัวแพงที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในปัจจุบัน
การออกสตาร์ทที่ยอดเยี่ยมเมื่อวันเสาร์ถือเป็นปฐมบทของ นูนเญซ และนับจากนี้เราจะได้เห็นว่าเขาพร้อมหรือไม่ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นดาวยิงอันดับหนึ่งของทีม..