วินาทีที่ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ ตะบันลูกบอลเข้าเสียบคานเป็นประตูชัยให้กับ ลิเวอร์พูล เฉือนชนะ นิวคาสเซิล ได้ที่ แอนฟิลด์ นั้นถือเป็นการปลดล็อคบรรยากาศที่ตึงเครียดกว่าครึ่งชั่วโมงหลังจากที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน ตีเสมอได้สำเร็จในนาทีที่ 61
30 นาทีกว่า ๆ ที่นักเตะเจ้าบ้านพยายามทำประตูขึ้นนำ ในขณะที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ จัดการเปลี่ยนตัวผู้เล่นเพื่อเติมรุกให้ดุดันขึ้นในนาทีที่ 71 ด้วย คอสตาส ซิมิคาส และ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ ส่วน เจมส์ มิลเนอร์ นั้นลงมาแทน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่มีอาการบาดเจ็บ โดย “น้ามิล” ถูกโยกไปเล่นเป็นแบ็คขวาเพื่อแทนที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่เกมนี้ฟอร์มไม่ค่อยดีนัก
นับเป็นครึ่งชั่วโมงที่อึดอัดและเท้าจิกพื้น ลิเวอร์พูล ยังคงเล่นด้วยมาตรฐานเดิมคือการโหมเกมรุกเข้าใส่แต่จบสกอร์กันได้น่าผิดหวัง โดยเฉพาะในครึ่งแรกที่พวกเขาแทบไม่มีโอกาสยิงตรงกรอบเลย ผิดกับทีมเยือนที่ อเล็กซานเดอร์ อิซัค สร้างปัญหาให้กับ เทรนท์ อย่างมาก
จบ 45 นาทีแรก หงส์แดง โดนคู่แข่งขึ้นนำเป็นนัดที่ 8 จาก 9 เกมหลังสุด พวกเขาต้องเหนื่อยหนักอีกตามเคยกับการไล่ตีเสมอและพลิกกลับมาเอาชนะ ภาพหลอน 3 เกมแรกผุดขึ้นมาในหัวทันที มีแต่เสียงภาวนาให้รีบยิงให้ได้ หากแต่รูปเกมในสนามยังไม่สามารถหวังอะไรได้มากนัก
แต่บทจะได้ประตูมันก็มา เมื่อ ซาลาห์ ที่เล่นไม่ออกในครึ่งแรกดันมีจังหวะลากเข้าไปในกรอบเขตโทษแล้วผ่านบอลเข้ามาให้ ฟีร์มีโน ที่วิ่งสอดเข้ามายิงตีเสมอได้สำเร็จ ถือเป็นการปลดล็อคขยักแรก ทำกองเชียร์ใจชื้นพร้อมกำหมัดหนุนทีมลุยเอาลูกที่ 2
แล้ว 30 นาทีกว่า ๆ ที่เจ้าบ้านพยายามโหมบุกเอา 3 แต้มก็กลายเป็นการกลับมาสร้างความอึดอัดให้แฟนบอลอีกรอบ พวกเขาพยายามใช้บอลยาวเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนที่ คาร์วัลโญ จะมาปลดล็อคขยักที่ 2 และเป็นการระเบิดเสียงเฮลั่น แอนฟิลด์ พร้อมด้วย 3 คะแนนที่ไม่มีทางให้ นิวคาสเซิล แก้ตัว
แม้จะเก็บชัยเป็นนัดที่ 2 ติดต่อกัน แต่หลายคนตั้งคำถามว่าทำไม ลิเวอร์พูล ต้องเป็นแบบนี้ ต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาด ต้องให้กองเชียร์ลุ้นกันจนหัวใจจะวายก่อนจะได้ 3 คะแนน ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่น่าใช่เรื่องแปลกสำหรับทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์เพราะหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาเป็นทีมที่ยิงประตูในช่วงท้ายเกมในอันดับต้น ๆ ของ พรีเมียร์ลีก ดังนั้นการยิง นิวคาสเซิล ในนาทีที่ 98 จึงไม่น่าเป็นประเด็น
แต่ที่เรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเพราะฤดูกาลที่แล้ว ลิเวอร์พูล สร้างมาตรฐานเอาไว้สูงลิ่ว พวกเขาคือทีมลุ้น 4 แชมป์ ทำให้แฟนบอลต่างตั้งคาดหวังเอาไว้สูง ซึ่งเมื่อมาออกสตาร์ทกระท่อนกระแท่นแบบนี้จึงถูกวิจารณ์เป็นเรื่องธรรมดา ขนาดที่หลายคนค่อนแค่ชัยชนะเหนือ บอร์นมัธ ว่าก็แค่เจอกับทีมอ่อน และชี้ว่าการเฉือน นิวคาสเซิล มันไม่ได้บ่งบอกถึงมาตรฐานการเล่นที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าสถานการณ์ของทีมในเวลานี้กำลังมีปัญหาเรื่องตัวนักเตะได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งเรื่องความเหนื่อยล้าที่มีผลมาจากการกรำศึกหนักเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา อย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ลงเล่นในฤดูกาลนี้แบบไม่ค่อยสมบูรณ์นัก รวมทั้งอีกหลายคนที่ฟอร์มตกลงไป
ดังนั้นการเก็บ 3 แต้มกับทีมที่แข็งแกร่งอย่าง นิวคาสเซิล ได้แบบนี้ จึงถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก เพราะอย่าลืมว่าในปี 2022 ทีมของ เอ็ดดี้ ฮาว สามารถเก็บแต้มได้มากที่สุดเป็นอันดับ 4 เป็นรองแค่ ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ เท่านั้น แถมช่วงซัมเมอร์ยังเสริมทัพได้เข้าตา โดยเฉพาะกองหน้าตัวใหม่อย่าง อเล็กซานเดอร์ อิซัค ที่ประเดิมประตูแรกของตัวเองได้ในเกมนี้ด้วย
การคว้าชัยชนะทั้ง ๆ ที่ฟอร์มไม่ดี มันเหมือนการเรียกความรู้สึกเก่า ๆ กลับมา เพราะเมื่อฤดูกาลก่อนหรือในปีที่ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก พวกเขาก็เล่นไม่ดีหลายนัดแต่สามารถจัดการเก็บ 3 แต้ม แถมยิงได้ในช่วงท้ายเกมอยู่บ่อย ๆ
เยอร์เก้น คล็อปป์ เรียกฟิลลิ่งแบบนี้ว่า “Mentality Monster” ที่ดูจะหายไปในฤดูกาลนี้
นอกจากนั้น ยังมีนิมิตหมายอันดีหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งฟอร์มของ ฮาร์วีย์ เอลเลียต ที่เริมมีบทบาทในเกมรุกมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถูกยกให้เป็นแมนออฟเดอะแม็ตช์ และการทำประตูที่ 2 ของ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ ที่ช่วยตัดสินชัยชนะให้กับทีมและถือเป็นการฉลองวันเกิดย้อนหลังไปในตัวด้วย
ที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาสามารถรักษาโมเมนตัมของตัวเองเอาไว้ได้หลังจากที่ยิงระเบิดระเบ้อถึง 9 ประตูในเกมที่ผ่านมา ซึ่งหากจำกันได้เมื่อ 2 ฤดูกาลก่อน ลิเวอร์พูล เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาแล้ว พวกเขากด คริสตัล พาเลซ ไปถึง 7-0 ในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2020 แต่เกมต่อมาก็ทำได้แค่เสมอกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 1-1 และไม่ชนะใครอีกเลย 5 เกมติดต่อกัน
ซึ่งถ้าผลการแข่งขันเมื่อคืนเป็นแบบอื่นก็ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะหาทางมาลำบากกว่าเดิมก็เป็นได้
ยิ่งเกมนัดต่อไปคือการบุกไปเยือน เอฟเวอร์ตัน ในศึก เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ การพกชัยชนะ 2 นัดติดกันไปแบบนี้ยิ่งสร้างความคึกคักให้กับลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้อย่างมากเลยทีเดียว
แถมพวกเขาจะได้ ดาร์วิน นูนเญซ กลับมาลงสนามหลังติดโทษแบนพร้อมกับข่าวการกลับมาลงซ้อมของ ดิโอโก้ โชต้า, เคอร์ติส โจนส์ และ โจเอล มาติป จะทำให้ ลิเวอร์พูล ไปเยือน กูดิสัน ปาร์ค ด้วยสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งและทีมที่ดีขึ้นกว่าเดิม
3 คะแนนที่ได้จาก นิวคาสเซิล จึงถือเป็นการเหวี่ยง ลิเวอร์พูล ให้กลับไปอยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็นก่อนเปิดศึกสำคัญในวันเสาร์นี้