ก่อนจะเกิดหายนะที่ สตาดิโอน ดิเอโก้ มาราโดนา เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่กูรูชื่อดังในอังกฤษหลายต่อหลายคนมักยกขึ้นมาสาเหตุที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทซีซัน 2022-2023 ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก นั่นคือการขาดหายไปของ ซาดิโอ มาเน ที่ย้ายไปเล่นกับ บาเยิร์น มิวนิค เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา
พอล เมอร์สัน ย้ำเรื่องนี้ถึง 2 รอบในการให้สัมภาษณ์ผ่านทาง สกายสปอร์ต โดยเขาบอกว่า นี่คือความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของทีม หงส์แดง ที่ปล่อยนักเตะที่ดีที่สุดของทีมไป ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวยังเหลือสัญญาอีกตั้ง 1 ปี เก็บไว้ใช้งานก่อนแล้วค่อยปล่อยฟรีก็ไม่เสียหาย
ส่วนทาง เจมี โอฮารา อดีตกองกลาง ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ก็กล่าวผ่านทาง ทอล์คสปอร์ต ว่า การขาย มาเน ไม่ได้ทำให้ความอันตรายในแดนหน้าของทีม เยอร์เก้น คล็อปป์ ลดลงเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงเกมโดยรวมของ ลิเวอร์พูล ก็ด้อยประสิทธิภาพไปด้วย
โอฮารา ยังชี้ให้เห็นว่า แม้จะได้ หลุยส์ ดิอาซ เข้ามาแทนที่แล้วก็ตาม แต่เจ้าตัวก็ยังไม่สามารถทาบรอยของกองหน้าชาวเซเนกัลได้
สิ่งที่กูรูทั้ง 2 พูดนั้นคือการสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้น ยิ่งเมื่อเราเอาผลการแข่งขัน 6 เกมที่ผ่านมาเทียบกับฤดูกาลที่แล้วก็สามารถพูดได้ว่าประสิทธิภาพโดยรวมของ ลิเวอร์พูล นั้นตกลงไปมาก เพราะซีซันก่อนที่ยังมี มาเน อยู่ในทีมพวกเขาชนะ 4 เสมอ 2 เก็บได้ 14 คะแนนในขณะที่ปีนี้ ชนะ 2 เสมอ 3 แพ้ 1 เก็บได้เพียง 9 แต้ม ทำหายไป 5 คะแนน โดยยิงประตูได้เท่ากันที่ 15 ลูกและเสียประตูมากกว่าปีที่แล้วแค่ 2 ลูก
มองเผิน ๆ ประสิทธิภาพในเกมรุกก็ไม่ได้แตกต่างกัน เกมรับต่างหากที่ต้องกังวล แต่หากดูในรายละเอียดของแต่ละเกมแล้ว จะพบว่าวิธีการเล่นของ ลิเวอร์พูล นั้น ต่างไปจากเดิมหลังไร้เงา มาเน ทั้งมิติของเกมรุกและเกมรับ
ว่ากันด้วยเรื่องสถิติใน 6 นัดแรกแล้ว หลุยส์ ดิอาซ ยิงไปได้ 3 ประตูเท่ากับแข้งเซเนกัล แต่การประสานงานฝั่งซ้ายกับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน นั้นดูจะไม่โดดเด่นเหมือนสมัยก่อน จนทำให้แข้งชาวสก็อตต์โดนวิจารณ์ว่าฟอร์มดร็อปลงไปมาก
เป็นที่รู้กันดีว่าแท็คติกการเล่นเกมรุกของ เยอร์เก้น คล็อปป์ นั้นจะเน้นการเข้าทำจากทางริมเส้นเป็นส่วนใหญ่ โดยจะใช้ฟูลแบ็คขึ้นเติมสุดเส้น มีมิดฟิลด์ซ้าย-ขวาคอยสนับสนุนเกมรุกและช่วยเกมรับ ในขณะที่ปีกทั้ง 2 ข้างก็จะตัดเข้ากลางเพื่อหาโอกาสทำประตูหรือดึงตัวประกบเพื่อเปิดทางให้แบ็คได้ทำเกม
แต่เมื่อไม่มี มาเน ที่คอยประสานงานตรงด้านซ้าย ดูเหมือนว่าประสิทธิภาพในเกมของ โรเบิร์ตสัน จะลดลง ไม่ว่าจะเป็นการโอเวอร์แล็ปหรือการครอสบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ รวมทั้งเกมรับที่โดนเจาะอยู่บ่อยครั้ง ในขณะที่ ดิอาซ ถนัดในการพาบอลไปเองมากกว่า
ไม่ใช่แค่นั้น ตำแหน่งที่เหลือในแดนหน้าทั้งตรงกลางและด้านขวาก็เปลี่ยนไป ดาร์วิน นูนเญซ อยู่ในกรอบเขตโทษในฐานะกองหน้าตัวเป้า ทำให้การมีส่วนร่วมกับเกมน้อยลง ในขณะที่ ซาลาห์ โดนถ่างออกไปเล่นด้านข้างมากกว่าเดิมเพื่อสนับสนุน นูนเญซ
ส่วน เทรนท์ หุบเข้ามาช่วยเกมตรงกลางมากขึ้น เอลเลียต ก็ไม่ได้ช่วยเกมรับมากซักเท่าไหร่ ทำให้การเล่นแบบสามเหลี่ยมที่เราคุ้นเคยนั้นเปลี่ยนไป
ดูเหมือนว่าการขาดหายไปของ มาเน ทำให้เกมของ ลิเวอร์พูล ต้องเปลี่ยนแปลงและเสียสมดุลไปทุกส่วน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นใน 6 นัดแรกของ พรีเมียร์ลีก รวมทั้งในเกมล่าสุดที่บุกไปโดน นาโปลี ยำใหญ่ 4-1 ที่เนเปิ้ลด้วย
แฟนบอลและกูรูหลายคนเชื่อเช่นนั้น แต่ยังไงก็ต้องถามกลับไปว่า เราแน่ใจได้อย่างไร? ถ้าหาก มาเน ยังอยู่ แล้วทีมจะเล่นดีเหมือนเดิมหรือแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
การเสียกองหน้าวัย 30 ปีนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะเจ้าตัวได้ประกาศย้ายทีมตั้งแต่ก่อนนัดชิงชนะเลิศ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ เรอัล มาดริด แล้ว, ดังนั้น เยอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงานจึงมองหานักเตะใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่และพวกเขาก็เลือก ดาร์วิน นูนเญซ ในช่วงซัมเมอร์
นั่นหมายความว่า คล็อปป์ รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะไม่มี มาเน ในฤดูกาลหน้าและต้องการการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น จึงเลือกดึงกองหน้าตัวเป้าจริง ๆ เข้ามาสู่ทีมเพื่อเพิ่มความเด็ดขาดในการทำประตู ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของ ลิเวอร์พูล และมันก็ส่งผลต่อแท็คติกการเล่นและฟอร์มของทีมอย่างช่วยไม่ได้
นายใหญ่ชาวเยอรมันยอมรับว่า ลิเวอร์พูล กำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลง โดยเขาบอกว่าทุกทีมก็มีการผลัดใบ แม้แต่ แมนฯ ซิตี้ เองก็ขายนักเตะตัวหลักอย่าง กาเบรียล เชซุส และ ราฮีม สเตอร์ลิง ออกไป เพียงแต่ว่า หงส์แดง ดันมีปัญหาการบาดเจ็บสอดแทรกเข้ามา ทำให้ผลที่ออกมายังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ซักเท่าไหร่ในเวลานี้
หากมองในแง่ดี, เดอะค็อป ต้องอดทนอีกนิด รอเวลาให้นักเตะตัวหลักกลับมาฟิตเต็มที่และได้ลงสนามกันอย่างพร้อมหน้า ถึงเวลานั้นเราจึงจะได้เห็น ลิเวอร์พูล ที่เป็น ลิเวอร์พูล อย่างที่เราคุ้นเคยเหมือนฤดูกาลที่แล้ว
แน่นอนว่าการไร้ซึ่ง มาเน ส่งผลกับทีมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ทุกสิ่งย่อมมีขึ้นมีลง มีการเปลี่ยนแปลง และทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ว่านี้
ความพ่ายแพ้อย่างยับเยินต่อ นาโปลี อาจจะทำให้ ลิเวอร์พูล เหมือนอยู่ในสภาวะวิกฤติก็จริง แต่เราก็ไม่อาจสรุปได้ว่า พวกเขาจะมีฤดูกาลที่เลวร้ายอย่างที่ใครหลายคนคิด
มีเพียงเวลาเท่านั้น ที่จะทำให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้……