เยอร์เก้น คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมที่แพ้ นาโปลี ย่อยยับ 4-1 เมื่อกลางสัปดาห์ก่อนว่า “We need to reinvent ourselves” หรือถ้าแปลกันตรง ๆ ก็คือ ลิเวอร์พูล ของเขาจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองทั้งหมด
ศัพท์ที่นายใหญ่ชาวเยอรมันใช้นั้น ไม่ใช่แค่ Change ที่หมายถึงการเปลี่ยนแบบธรรมดาทั่วไป แต่เป็น Reinvent ที่สื่อว่า พวกเขาต้องเปลี่ยนแบบไม่เหลือเค้าเดิมอีกเลย
การเปลี่ยนแปลงที่ คล็อปป์ พูดถึงนั้น คงจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากแท็คติกและรูปแบบการเล่น ซึ่งของเดิมนั้นโดนจับทางได้หมดแล้ว
รูปแบบ 4-3-3 ของ ลิเวอร์พูล นั้นเดาง่ายมาก เน้นการเพรสซิงแดนบน ใช้บอลไดเร็คจากแดนหลังโยนให้ปีกทั้ง 2 ข้างเข้าทำ โดยมีฟูลแบ็คคอยขึ้นเติมเกมสุดเส้น สนับสนุนเกมรุก และใช้มิดฟิลด์ 3 คนตรงกลางไล่บีบเกมคู่แข่ง แย่งบอลให้เร็วและผ่านออกข้างรวมทั้งลงมาช่วยเกมรับริมเส้นเมื่อยามโดนโต้กลับ ส่วนแผงหลังดันขึ้นสูงเกือบครึ่งสนามเพื่อกดคู่แข่งให้อยู่ในแดนตัวเอง
หงส์แดง แทบไม่เคยเปลี่ยนวิธีการเล่นของพวกเขา และมันจะยิ่งได้ผลดีหากนักเตะทุกตำแหน่งฟิตสมบูรณ์พร้อม เพราะการเล่นแบบนี้ต้องใช้ความเข้าใจเกมและพละกำลังสูงมาก
อย่างไรก็ตาม, ฝั่งของคู่แข่งก็ศึกษาการเล่นของพวกเขามาอย่างดี และมีพัฒนาการในการรับมือกับ “เกเก้นเพรสซิง” ของ ลิเวอร์พูล ให้เห็นมาแล้วเหมือนกัน
เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา เกือบทุกทีมที่เจอกับเด็ก ๆ ของ คล็อปป์ จะมาเน้นการตั้งรับลึก ซ้อนกัน 2 ชั้นหน้ากรอบเขตโทษ และเน้นการป้องกันริมเส้นเป็นพิเศษด้วยการวางตัวผู้เล่น 2-3 คน ในขณะเดียวกันก็ทิ้งกองหน้าที่มีความเร็วเอาไว้ค้ำ 1 คนพร้อมตัวช่วยในการขึ้นเกมอีก 1 คน ใช้ความอดทนในการตั้งรับ ปล่อยให้ หงส์แดง ครองเกมก่อนที่จะหาจังหวะตัดบอลและโยนข้ามไลน์กองหลังให้กองหน้าหรือปีกใช้ความเร็วเข้าทำ
ลิเวอร์พูล มักจะเสียประตูจากจังหวะแบบนี้บ่อยครั้ง แต่พวกเขาก็ยังดีพอที่จะเอาคืนและพลิกกลับมาเอาชนะได้ หรือถ้าท็อปฟอร์มกันหน่อยก็ไล่ยิง 2-3 ลูก ชนิดที่แทบไม่เปิดโอกาสให้คู่แข่งได้ทำเกม
วิธีการเช่นนี้เวิร์คกับแค่บางทีมเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่แล้วก็โดน หงส์แดง เชือดทั้งสิ้น ทำให้ในช่วงหลังหลายทีมเริ่มปรับแผนกันใหม่ เพราะการตั้งรับเพียงอย่างเดียวเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกทีมของ คล็อปป์ ได้มีโอกาสครองบอลและสร้างสรรค์โอกาสในการทำประตู ซึ่งหมายความว่าพวกเขาเตรียมตัวเพื่อรอเวลาแพ้
ฟูแลม แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างในเกมแรก พวกเขาใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง ไล่บีบ ไล่เพรสทุกตำแหน่งของ ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะในแดนกลางไม่ให้ได้ครองบอลถนัด ทำให้เกมวันนั้นนักเตะทีมเยือนตั้งเกมไม่ติด แถมยังโดนความแข็งแกร่งของ อเล็กซานดร้า มีโตรวิช เล่นงานจนเสียศูนย์ ดีที่ยังกลับออกจาก คราเวน ค็อทเทจ ด้วยผลเสมอ
ศึกแดงเดือดกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง เอริค เทน ฮาก ปลุกแข้ง ปีศาจแดง เข้าไล่บดบี้นักเตะ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่นาทีแรก จนทำให้พวกเขาก็ได้ประตูขึ้นนำเร็วและบดเอาชนะไปได้ 2-1 ด้วยเกมโต้กลับที่เฉียบคม
ส่วนเกมล่าสุดที่โดน นาโปลี ไล่ถล่มนั้นเด็ก ๆ ของ คล็อปป์ พังพาบทุกตำแหน่ง พวกเขาโดนไล่บดไล่ขยี้และแหลกสลายตั้งแต่ 45 นาทีแรก ไม่เหลือเค้ารองแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้วแม้แต่น้อย
นั่นจึงเป็นที่มาของคำว่า Reinvent ที่ คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อ เพราะเขารู้ว่าการใช้วิธีเดิม ๆ มันอาจจะไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว
แฟนบอลและกูรูต่างเสนอให้ ลิเวอร์พูล ลองปรับแผนการเล่นจาก 4-3-3 เป็น 4-2-3-1 เพื่อให้เกมดูแน่นขึ้น ป้องกันข้อผิดพลาดที่ผ่านมา รวมทั้งเลี่ยงการให้กองหลังดันขึ้นสูง เพราะนั่นคือการเผยจุดอ่อนที่ทำให้พวกเขาโดนคู่แข่งเล่นงาน
ในแท็คติกเดิมนั้น แดนกลางถือเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเกมของ ลิเวอร์พูล พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องใช้เพลย์เมคเกอร์หรือพวกจอมเทคนิค แต่ต้องการนักเตะที่พร้อมวิ่งไล่บดบี้คู่แข่งตลอด 90 นาที แย่งบอลเก่ง และช่วยเกมรับและรุกได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งแม้แต่ ติอาโก้ อัลคันทารา ก็ต้องปรับตัวเองมาเล่นในวิธีนี้
อย่างไรก็ดี, การปรับมาเล่น 4-2-3-1 หมายถึงการลดจำนวนเซ็นเตอร์มิดฟิลด์ลง 1 คน และใช้ตัวรับกับบ็อกซ์ทูบ็อกซ์จับคู่กันยืนอยู่หน้าแผงแบ็คโฟร์เพื่อช่วยเกมรับ จากนั้นคอยเชื่อมเกมกับแนวรุก 3 คนหลังกองหน้าตัวเป้า พร้อมกับการขึ้นเติมเกมริมเส้นของฟูลแบ็คทั้ง 2 ข้าง
ด้วยแผนนี้จะทำให้เกมรุกมีผู้เล่นถึง 6 คน ในขณะที่เกมรับสามารถปรับแดนกลางให้มีถึง 5 คนคอยช่วยตัดเกมได้
อันที่จริง คล็อปป์ ก็เคยใช้แผนนี้มาแล้วเมื่อสมัยอยู่กับ ดอร์ทมุนด์ และตอนที่มาคุม ลิเวอร์พูล ปีแรก ๆ ก่อนจะมาพบปีกฟ้าประทานอย่าง ซาดิโอ มาเน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ทำให้เขาต้องหันมาเล่นระบบ 4-3-3 อย่างทุกวันนี้
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เป็นเพียงการคาดการณ์ล่วงหน้าเท่านั้น
คล็อปป์ และทีมงานก็คงต้องทำอะไรสักอย่างไม่ว่าจะมากหรือน้อย เพราะผลการแข่งขันที่ผ่านมามันชี้ชัดอยู่แล้วว่าพวกเขาต้องการการเปลี่ยนแปลง
ในการแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ เจ้าตัวออกมายอมรับกลาย ๆ ว่า เขามีแผนที่จะมารับมือกับ อาแจ็กซ์ เหมือนกัน ซึ่งตนรู้ว่าฟอร์มที่ไม่สม่ำเสมอและเกมรับคือปัญหาสำคัญ แต่ยังพูดอะไรไม่ได้ ให้รอดูในเกมว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ในขณะที่ อัลเฟรด ชโรเดอร์ กุนซือของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ก็ออกมาเจิมว่า เขารู้วิธีที่จะเอาชนะ ลิเวอร์พูล และจะเอาพิมพ์เขียวของ เอริค เทน ฮาก ที่ใช้ได้ผลในเกมแดงเดือดมาใช้ในเกมนี้ เพราะตนเห็นจุดอ่อนของเจ้าบ้านหมดแล้ว และเชื่อมั่นว่าจะสามารถบุกมาเก็บ 3 คะแนนได้แน่นอน
ไม่มีใครรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงในคืนนี้จะออกมาในรูปแบบไหน แต่ที่แน่ ๆ ‘ลิเวอร์พูล จะพลาดอีกไม่ได้แล้ว’ เพราะเกมนี้มีความสำคัญอย่างมาก พวกเขาต้องการชัยชนะสถานเดียวเท่านั้น มิเช่นนั้นจะทำให้โอกาสผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอ้าท์ดูเลือนลางทันที
และที่สำคัญ….อาจส่งผลต่อสภาพจิตใจในการสู้ศึกที่เหลือในฤดูกาลนี้ด้วยก็เป็นได้