ต้องบอกเลยว่าฟอร์มการเล่นของ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เปิดบ้านเอาชนะ เซาแธมป์ตัน ไปได้ 3-1 ในศึก พรีเมียร์ลีก เมื่อคืนที่ผ่านมา ถือเป็นเกมที่สมบูรณ์แบบของพวกเขาเกมหนึ่งในฤดูกาลนี้ก็ว่าได้
ก่อนที่จะลงเล่นนัดเมื่อคืนนี้ หงส์แดง มีสถิติที่ไม่ดีเท่าไหร่กับการเจอกับทีมท้ายตาราง เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้มาแล้วถึง 3 นัด ไล่มาตั้งแต่การพ่ายศึกแดงเดือดต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งตอนนั้นทีมของ เอริค เทน ฮาก จมบ๊วยอยู่ก้นตารางจากการลงเล่น 2 นัดมี 0 แต้ม จากนั้นมาโดน น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ที่ไม่ชนะใครมาเกือบ 10 นัดเชือดนิ่ม ๆ 1-0 และล่าสุดคือความพ่ายแพ้ต่อ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่อยู่อันดับ 19 คาถิ่น แอนฟิลด์ บ้านตัวเองเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน
นั่นทำให้ เดอะค็อป หลายคนหวั่นใจว่า การมาเจอกับ เซาแธมป์ตัน ที่กำลังวนเวียนอยู่ในโซนตกชั้นแถมยังเป็น “บอลเปลี่ยนโค้ช” แบบนี้ จะทำให้ทีมรักของพวกเขาสะดุดอีกหรือไม่
การจัด 11 ตัวจริงเรียกได้ว่าเต็มสูบ มีเปลี่ยนเพียงตำแหน่งเดียวคือ โจ โกเมซ ลงเล่นแทน อิบราฮิมา โคนาเต้ เท่านั้น โดยมาในแผน 4-3-3 หรืออาจจะมองว่าเป็น 4-3-1-2 ก็ไม่ผิด ในขณะที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่สามารถคุมทีมข้างสนามได้ เนื่องจากติดโทษแบนจากการโดนใบแดงโทษฐานไปโวยผู้ตัดสินใจเกมที่ชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องให้ เป๊ป ลินเดอร์ส คอยทำหน้าที่แทน
ส่วนผลงานของทีมเยือนนั้น เรียกได้ว่าฟอร์มอยู่ในระดับแย่มาโดยตลอด พวกเขาเก็บชัยชนะได้เพียง 3 นัดจาก 14 เกม รั้งอันดับ 19 ของตาราง มีเพียง 12 คะแนน, กุนซือ ราล์ฟ ฮาเซนฮ็อทเทิล จึงโดนปลดพ้นตำแหน่งก่อนจะมาเยือน แอนฟิลด์ และมีการแต่งตั้ง นาธาน โจนส์ ผู้จัดการทีม ลูตัน ทาวน์ เข้ามารับหน้าที่โดยทันที
สำหรับภาพรวมของเกมที่เกิดขึ้นตลอด 90 นาทีนั้น ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายครองบอลได้มากกว่าและเล่นได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะ 45 นาทีแรกที่พวกเขาสามารถปิดเกมได้อย่างรวดเร็วด้วยการออกนำ 3-1 และคนที่ฟอร์มเด่นที่สุดคงไม่ใช่ใครนอกจาก ดาร์วิน นูนเญซ ที่ยิงคนเดียว 2 ประตู
ในครึ่งหลัง แม้ว่า นักบุญแดนใต้ จะมีการปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่นและดูเหมือนว่ารูปเกมจะดีขึ้นกว่าเดิม สามารถสร้างความอันตรายให้กับแนวรับของเจ้าบ้านได้ โดยพวกเขามีจังหวะที่ควรจะได้ประตูแบบจะ ๆ ถึง 3 ครั้งแต่ก็โดน อลิสซอน เบ็คเกอร์ เซฟเอาไว้ได้อย่างมหัศจรรย์แถมเกือบโดนโต้หลายครั้งเหมือนกัน
เอาเข้าจริง เซาแธมป์ตัน แทบจะไม่ได้สร้างความลำบากใจให้กับ ลิเวอร์พูล มากเท่าใดนัก พวกเขาเล่นไม่เหมือนทีมที่กำลังดิ้นรนเพื่อให้พ้นโซนตกชั้น การไล่บีบในแดนกลางก็ไม่เข้มข้นมากพอ จึงทำให้เจ้าบ้านสามารถครองบอลและมีเวลาพาบอลเข้าสู่พื้นที่อันตรายได้อยู่เรื่อย ๆ
ในขณะที่ หงส์แดง เล่นเกมนี้ด้วยความมุ่งมั่นและสดชื่น เนื่องจากนักเตะส่วนใหญ่ได้พักมาแบบเต็ม ๆ ทั้งสัปดาห์ เพราะเกมกับ ดาร์บี้ ใน คาราบาว คัพ เมื่อวันพุธนั้น กุนซือชาวเยอรมันส่งผู้เล่นหน้าใหม่และตัวสำรองลงครบทุกตำแหน่ง ดังนั้นเมื่อมาถึงแมตช์วันเสาร์ พวกตัวหลักเลยฟิตเต็มหลอดพร้อมบดบี้ผู้มาเยือน
ทุกตำแหน่งของ ลิเวอร์พูล แทบจะไม่มีข้อผิดพลาด พวกเขาทำหน้าที่ของตัวเองกันได้ดี ไล่ไปตั้งแต่นายทวารอย่าง อลิสซอน ที่ยังคงรักษามาตรฐานความเป็นมือระดับท็อปของโกลเอาไว้ได้ เซฟช่วยชีวิตทีมไว้ได้หลายครั้ง ในขณะที่แผงหลังที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็น แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ที่ทำคนเดียว 2 แอสซิสต์ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นกองหลังที่ส่งบอลให้เพื่อนยิงประตูมากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก เทียบเท่ากับสถิติของ เลห์ตัน เบนส์ ที่ 53 ครั้งเป็นที่เรียบร้อย
ในแดนกลางการได้ ติอาโก้ อัลคันทารา กลับมาคุมจังหวะเกมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกมของ ลิเวอร์พูล ไหลลื่นและมีช่องในการเข้าทำมากมาย แข้งวัย 31 ปีถือเป็นเพลย์เมคเกอร์คนสำคัญที่สามารถเชื่อมบอลจากหลังไปสู่แดนหน้าและพลิกบอลเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขัน เปลี่ยนจากเกมรับเป็นรุกได้เพียงจังหวะเดียว ซึ่งความโดดเด่นเหล่านี้ทำให้ทั้ง ฟาบินโญ และ ฮาร์วีย์ เอลเลียต เล่นง่ายและมีประโยชน์กับทีมมากขึ้น
ในแนวรุกแน่นอนว่าที่โดดเด่นที่สุดหนีไม่พ้น ดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งเจ้าตัวเริ่มแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวกับทีมได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เกมนี้เขาโดนถ่างออกไปอยู่ริมเส้นฝั่งซ้าย ซึ่งเจ้าตัวก็พาบอลเข้าพื้นที่อันตรายได้หลายครั้ง แม้จะไม่ใช่ปีกธรรมชาติที่ไปกับบอลได้ดีหรือมีลีลาในการกระชากลากเลื้อยที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ด้วยความเป็นคนสูงใหญ่ทำให้สามารถบังบอลและสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมได้อยู่เรื่อย ๆ รวมทั้งยังมีจังหวะแวบเข้าไปในกรอบเขตโทษแบบที่คู่ต่อสู้ไม่ทันตั้งตัว และสิ่งที่เป็นจุดเด่นมาก ๆ ก็คือสัญชาตญาณในการทำประตูของเขานั้นเข้าขั้นยอดเยี่ยมจนนำมาซึ่ง 2 ประตูและคว้ารางวัล แมนออฟเดอะแม็ตช์ ไปครองอย่างไร้ข้อกังขา
นอกจากความยอดเยี่ยมของแข้งวัย 23 ปีแล้ว ที่ต้องปรบมือให้อีกคนคือ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน ที่ผิดหวังจากการไม่มีชื่อไปฟุตบอลโลกกับทีมชาติบราซิล ซึ่งในเกมนี้เจ้าตัวก็เล่นได้อย่างโดดเด่นไม่แพ้กัน ทั้งการลงมาเชื่อมเกม การวิ่งไล่เพรสแนวรับคู่ต่อสู้ และการประสานงานร่วมกับ ซาลาห์ โดย บ็อบบี้ เป็นคนที่ทำให้เกม ลิเวอร์พูล ง่ายขึ้นจากการทำประตูขึ้นนำอย่างสุดสวย ก่อนที่ทีมจะปิดจ็อบได้ใน 45 นาทีแรก
เมื่อมองฟอร์มการเล่นในภาพรวมดูเหมือนว่า ลิเวอร์พูล กำลังกลับเข้าสู่ร่องรอยและทิศทางที่ควรจะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาเล่นได้อย่างดุดัน แข็งแกร่ง และปิดเกมได้เร็ว ต่างจากนัดที่ผ่านมา ๆ ที่มักจะเสียประตูไปก่อน จากนั้นก็ตื้อตันและไร้ไอเดียในการเข้าทำ แม้ว่าจะครองบอลได้มากกว่าคู่แข่งก็ตาม และสุดท้ายไม่ได้ผลการแข่งขันตามที่ต้องการ
ดังนั้น การคว้า 3 คะแนนก่อนปิดเบรคยาว ๆ ครั้งนี้ถือเป็นผลงานที่น่าพอใจของ เยอร์เก้น คล็อปป์ หลังจากที่ต้องเจอกับมรสุมมากมายในช่วงที่ผ่านมา ซึ่ง 40 กว่าวันต่อจากนี้ จะเป็นช่วงเวลาที่ได้พักหายใจหายคอและรอผู้เล่นที่ได้รับบาดเจ็บกลับมาฟูลทีมอีกครั้ง
จากนี้ ก็แค่ภาวนาให้นักเตะที่ไปเล่นฟุตบอลโลกกลับมาในสภาพที่ฟิตสมบูรณ์ และหวังให้พวกเขาจะยังคงรักษาโมเมนตั้มนี้เอาไว้ได้ จนถึงเกมบ็อกซ์ซิ่งเดย์ในวันอังคารที่ 27 ธันวาคมที่จะออกไปเยือน แอสตัน วิลลา ที่ วิลลา ปาร์ค ด้วย