คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ!! เมื่อ 2 สโมสรคู่ปรับตลอดกาลอย่าง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศหาผู้ร่วมลุงทุนหรือพร้อมขาย หากมีคนสนใจอย่างจริงจังในช่วงเวลาที่ไม่ห่างกันมากนัก
เมื่อต้นเดือน เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป ออกมาแถลงพร้อมยก หงส์แดง ให้นักลงทุนที่เงินถึงเข้ามาบริหารต่อ ด้วยสนนราคาที่คาดกันไว้ว่าราว ๆ 4 พันล้านปอนด์ โดยทาง ทอม แวร์เนอร์ หนึ่งในผู้ถือหุ้นของสโมสรยืนยันว่า พวกเขากำลังสำรวจทุกความเป็นไปได้ในการขายทีมโดยไม่มีกรอบเวลาที่แน่ชัด
จากนั้นไม่นาน ตระกูลเกลเซอร์ก็ทำเซอร์ไพรส์แฟนบอล ปีศาจแดง แถลงการณ์ออกมาเมื่อคืนวันอังคารหลังการประกาศยกเลิกสัญญากับ คริสเตียโน โรนัลโด้ เพียงไม่กี่ชั่วโมงว่า พวกเขาก็พร้อมพิจารณาการขายสโมสรเช่นเดียวกันหลังจากที่บริหารมาเป็นเวลา 17 ปี
สื่อและกูรูเชื่อว่า มันอาจจะมีสาเหตุเบื้องหลังบางอย่างที่ทำให้นายทุนของทั้ง 2 ทีมตัดสินใจขายสโมสรไปพร้อม ๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกันแบบนี้
และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อลองไปวิเคราะห์ตามสื่อในอังกฤษหลายเจ้าและอ่านความเห็นจากกูรูหลายคนซึ่งทั้งเกือบทั้งหมดต่างเห็นตรงกันว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเขาพร้อมสละเรือก็คือ การพลาดโอกาสในการก่อตั้ง “ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก” ที่เคยเป็นที่ฮือฮาเมื่อช่วงปลายซีซันก่อน
หากจำกันได้ทั้ง 2 สโมสรคือหนึ่งในตัวตั้งตัวตีที่ออกมาประกาศสนับสนุนให้เกิด ซูเปอร์ลีก ขึ้น ร่วมกับอีก 10 สโมสรไม่ว่าจะเป็น
เอซี มิลาน, อินเตอร์ มิลาน และ ยูเวนตุส ตัวแทนจาก กัลโช เซเรีย อา
บาร์เซโลนา, เรอัล มาดริด และ แอตเลติโก้ มาดริด ตัวแทนจาก ลา ลีก้า
อาร์เซนอล, เชลซี, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ตัวแทนจาก พรีเมียร์ลีก
โดยจะมีทีมเพิ่มเข้ามาอีก 5 ทีมเพื่อให้ครบ 20 ทีมและแข่งกันช่วงกลางสัปดาห์โดยสโมสรที่เข้าร่วมจะได้เงินก้อนแรกจากส่วนแบ่งทั้งหมด 3.5 พันล้านยูโร หรือคิดเป็นทีมละ 175 ล้านยูโร ซึ่งคาดว่าเมื่อลงแข่งกันไปจนจบรายการจะได้เงินทั้งหมดเฉลี่ยทีมละประมาณ 350 ล้านยูโรเลยทีเดียว
เอาแค่เงินเริ่มต้นก็มากกว่าเงินรางวัลรวมทั้งหมดของแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปีที่แล้วอย่าง เรอัล มาดริด เสียอีก เพราะทาง ‘ราชันชุดขาว’ ได้เงินมาทั้งหมดเพียง 90 ล้านยูโรเท่านั้น
ดังนั้น นี่คือขุมทรัพย์ก้อนโตของกลุ่ม FSG และ ตระกูลเกลเซอร์ ซึ่งจะทำให้พวกเขาจะสามารถนำไปต่อยอดธุรกิจของตัวเองได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งการหมุนเวียนใช้ภายในกิจการของสโมสร ที่สำคัญเงินก้อนโตนี้จะช่วยยกระดับทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ยูไนเต็ด ในการสู้กับ แมนฯ ซิตี้ และ นิวคาสเซิล ในอนาคตได้ด้วย
แต่เมื่อฝันหวานของพวกเขาล่มสลายไม่เป็นท่า การตัดสินใจหาผู้ร่วมลงทุนเพิ่มเติมและการขายสโมสรให้กับนักลงทุนรายใหม่ ในขณะที่มูลค่าของทีมกำลังพุ่งสูงขึ้น จึงเป็นทางเลือกที่จะดีที่สุดในสถานการณ์การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ใน พรีเมียร์ลีก
นอกจากเรื่องที่มาที่ไปของการประกาศขายสโมสรจะมีความคล้ายคลึงกันแล้ว ปฏิกิริยาของแฟนบอลทั้ง 2 ทีมก็มีออกมาไม่ต่างกันซักเท่าไหร่
เดอะค็อป กำลังผิดหวังกับนโยบายการเสริมทัพของทีมในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แม้ว่า คล็อปป์ จะทุ่มเงินกว่า 100 ล้านยูโรเพื่อเป็นค่าตัวของ ดาร์วิน นูนเญซ แต่ด้วยสถานการณ์ที่กองกลางได้รับบาดเจ็บหลายราย กองเชียร์ก็อยากจะได้คนใหม่เพิ่มเติมด้วย
หากแต่เมื่อใกล้จะปิดตลาดพวกเขาทำได้ดีที่สุดคือการยืมตัว อาร์ตู เมโล จาก ยูเวนตุส แถมไป ๆ มา ๆ ก็ไม่ได้ใช้งานเพราะเจ้าตัวดันเจ็บหนักถึงขั้นต้องเข้ารับการผ่าตัดอีก บวกกับผลงานของทีมในช่วครึ่งซีซันแรกยิ่งสร้างความขุ่นเคืองให้กับแฟนบอลเป็นอย่างมาก กระแส #FSGOUT จึงดังกระหึ่มบนโลกโซเชียลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ส่วนความบาดหมางของสาวก ปีศาจแดง กับตระกูลเกลเซอร์นั้น เริ่มต้นตั้งแต่ก่อนจะเข้าเทคโอเวอร์สโมสรเสียอีก ด้วยวิธีคิดและสไตล์การบริหารงานที่ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมฟุตบอลของคนอังกฤษ ไหนจะเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัวมากจนเกินงาม แม้ว่าจะประสบความสำเร็จขนาดไหน แต่เมื่อใดที่ผลงานออกมาไม่ดี นายทุนจากอเมริกาจึงตกเป็นเป้าโจมตีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยอารมณ์แบบนี้จึงไม่แปลกแฟนบอลทั้ง 2 ทีมจึงดูจะตื่นเต้นและใจจดใจจ่อกับการประกาศขายสโมสรครั้งนี้ โดยเชื่อว่ากว่า 90% คงหวังลึก ๆ ที่จะให้บรรดาเศรษฐีจากตะวันออกกลางเข้ามารับช่วงต่อ
หลายฝ่ายมองว่า หากการเปลี่ยนเจ้าของของทั้ง 2 ทีมครั้งนี้ประสบความสำเร็จ จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ พรีเมียร์ลีก เพราะนี่คือ 2 สโมสรที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ รวมทั้งยังมีมูลค่าการตลาดสูงติดอันดับท็อปไฟว์ของโลก
เอาแค่ทุกวันนี้สื่อต่าง ๆ ก็เล่นแต่ข่าวของ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นหลักอยู่แล้ว หากพวกเขากลายเป็นทีมมหาเศรษฐีตามรอย แมนฯ ซิตี้ และ นิวคาสเซิล ขึ้นมา คิดดูว่าโลกฟุตบอลจะสั่นสะเทือนขนาดไหน
ไม่ใช่แค่แฟนบอลของทั้ง 2 ทีมเท่านั้นที่กำลังลุ้นกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คอบอลทั้งโลกก็คงอยากจะรู้แล้วว่าอนาคตของทั้งคู่จะเป็นอย่างไรเช่นกัน….