ลิเวอร์พูล ทีมดัง แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ภายใต้การนำของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ทำลายอาถรรพ์การสวมเสื้อชุดเยือนสีขาวลงแข่ง และยังไม่พบกับชัยชนะได้สำเร็จแล้ว หลังโชว์ฟอร์มแกร่งบุกไปพลิกเอาชนะเ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่สนาม ลอนดอน สเตเดี้ยม แบบสนุก 2-1 ในเกมลีกเมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา
หลังจากที่โดน เวสต์แฮม ยิงนำไปก่อน เชื่อได้ว่า แฟนบอล “เดอะ ค็อป” หลายคนอาจจะคิดว่า ทีมรักคงไม่น่ารอดกลับออกไป แต่สุดท้าย พลพรรค “หงส์แดง” ก็รวมพลังกลับมาเก็บ 3 คะแนนสำเร็จ พร้อมกับต่อความหวังลุ้นท็อปโฟร์แบบห่างๆไปได้อีก และนี่คือ 5 ข้อที่จะนำมาพูดถึงหลังเกม
1. ลิเวอร์พูล ทีมดัง แห่งศึก พรีเมียร์ลีก ทำการเปลี่ยนแปลงทีมน้อยที่สุด
คล็อปป์ ยังคงจัดผู้เล่นตัวจริงไว้เหมือนเดิมกับในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเกมนี้ เทรนเนอร์ชาวเยอรมัน เลือกเปลี่ยนนักเตะเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น คือ มอบหมายให้ โจเอล มาติป ลงมายืนในแนวรับคู่กับ เวอร์จิล ฟาน ไดจค์ แทนที่ อิบราฮิมา โกนาเต้ ที่ไม่สมบูรณ์
ขณะเดียวกัน เคอร์ติส โจนส์ ที่ก่อนหน้านี้แทบไม่ได้เล่นเป็นเวลา 5 เดือน ก็ได้ออกสตาร์ทในการลงเล่นเกมลีก 5 นัดติดต่อกันแล้ว โดยยืนในแดนกลางร่วมกับกัปตันทีม จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ เช่นเดิม
ส่วนในแดนหน้า 3 แนวรุกชุดเดิมที่กำลังเข้าฝักอย่าง โคดี กัคโป, ดิโอโก โชตา และ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ได้เล่นร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ขยับมาประจำการในบทบาท inverted fullback
นอกจากนี้ ลิเวอร์พูล ยังมีขุมกำลังสำรองที่ดีขึ้นอย่าง เจมส์ มิลเนอร์, ติอาโก อัลคันทาร่า, หลุยส์ ดิอาซ, ดาร์วิน นูนเญซ และ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ที่คอยลงมาเปลี่ยนเกม
2. ความอ่อนล้าของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน จากการกรำศึกหนักมาหลายเกม
ในวัย 32 ปี เฮนเดอร์สัน ไม่ใช่นักเตะจอมฟิตคนเดิมที่เรารู้จักกันอีกแล้ว โดยเกมนี้เห็นได้ชัดว่า กัปตันดูเหนื่อยล้าหลังจากเล่นติดๆกันมาหลายนัด เขาไม่สามารถช่วยงานในเกมรุก หรือเกมรับ ได้ตลอดทั้ง 90 นาทีเหมือนที่ผ่านมา
เฮนเดอร์สัน ไม่ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างต่อเนื่องในเกม และบางที คล็อปป์ ก็ควรจะให้เจ้าตัวได้พักบ้าง ซึ่งการที่กัปตันหมดพลังงานนั้น ก็ยิ่งทำให้แดนกลางของ ลิเวอร์พูล ดูไม่กระฉับกระเฉง และขาดคนขขับเคลื่อนเกมตามไปด้วย
มันเป็นประเด็นที่ชัดเจนเลยว่า คล็อปป์ ต้องยกเครื่องแดนกลางครั้งใหญ่ในช่วงซัมเมอร์นี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่จะเข้ามารับช่วงต่อจาก เฮนเดอร์สัน
3. ลูกเซตพีซที่ยังคงอันตรายและไว้ใจได้
ลูกตั้งเตะกลายเป็นอาวุธที่อันตรายสำหรับ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว และพวกเขาก็ใช้มันทำลายแนวรับคู่แข่งได้อยู่เสมอ ซึ่งเกมกับ เวสต์แฮม นั้น ประตูชัยก็มาจากการที่ มาติป โขกลูกเตะมุมจากการเปิดของ แอนดรูว์ โรเวิร์ตสัน แบ็คซ้ายชาวสก็อตแลนด์ เข้าไปอย่างสวยงาม
หาดย้อนไปในเกมกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เมื่อสัปดาห์ก่อน ลิเวอร์พูล ก็ได้ 3 ประตูจากฟรีคิก รวมถึงใช้ลูกเตะมุมสร้างความปั่นป่วนให้พลพรรค “เจ้าป่า” แทบตลอดทั้งเกม ซึ่งเรียกได้ว่า “หงส์แดง”สามารถหวังผลจากการเล่นลูกนิ่งได้ทุกระยะ
ยิ่งเพิ่มความสามารถในการเล่นลูกเซตพีซมากเท่าไหร่ ลิเวอร์พูล ก็จะมีทีเด็ดจากการทำประตูที่มากขึ้น และบางทีอาจทำให้พวกเขาเก็บแต้มได้เป็นกอบเป็นกำ
4. บทบาทในระยะยาวของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
หลังจากขยับขึ้นมายืนในแดนกลางกับบทบาท inverted fullback ดาวเตะวัย 24 ปี ยังทำผลงานได้อย่างโดดเด่นต่อเนื่อง เขาเป็นคนคุมจังหวะเกมรุก-เกมรับของทีม และสร้างสรรค์เกมจากแนวลึก ซึ่งทำให้ ลิเวอร์พูล มีมิติการบุกที่หลากหลายมากขึ้น
ในเกมกับ เวสต์แฮม อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็ทำไปได้อีก 1 แอสซิสต์ ให้กับ กัคโป ซัดประตูตีเสมอ และมันเท่ากับว่า การที่เจ้าตัวลงเล่นในตำแหน่งนี้ตลอด 4 เกมหลังสุดนั้น แบ็คขวาชาวอังกฤษ ทำไปถึง 5 แอสซิสต์เลยทีเดียว
หากไม่มีอะไรผิดพลาด อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ น่าจะยังยึดการเล่นในตำแหน่งนี้ไปจนถึงฤดูกาลหน้า
5. ลิเวอร์พูล ทีมดัง แห่งศึก พรีเมียร์ลีก รอเปิดบ้านต้อนรับ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ในเกมต่อไป
5 เกมหลังสุดไม่แพ้ใคร และสามารถเก็บชัยชนะถึง 3 เกมติดกัน เรียกได้ว่า ลูกทีมของ คล็อปป์ กำลังมั่นใจสุดๆก่อนเกมนัดสำคัญที่จะเปิดรัง แอนฟิลด์ เผชิญหน้ากับคู่แข่งลุ้นท็อปโฟร์อย่าง ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ในวันที่ 30 เมษายนนี้
หาก ลิเวอร์พูล ยังหวังไปเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า พวกเขาไม่มีทางเลือก และจำเป็นต้องเอาชนะ สเปอร์ส เพียงสถานเดียวเท่านั้น ซึ่งหากเก็บ 3 คะแนนสำเร็จ “หงส์แดง” ก็ยังคงรักษาความหวังของตัวเองเอาไว้ได้