บอร์นมัธ พบ ลิเวอร์พูล เกมที่ 21 ในศึกพรีเมียร์ลีก 2023-24 เกมที่ทำให้เห็นว่า เส้นทางแห่งการลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดของ หงส์แดง ที่ยังคงเปิดกว้าง แม้ฝั่งของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะไล่จี้ตามมาติด ๆ แล้ว แต่ทัพนักเตะของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็สามารถบุกไปเก็บ 3 แต้มจากถิ่นของ ‘เดอะ เชอรี่ส์’ มาได้แบบหมดจด
ซึ่งเกมนี้ ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจแทบทุกตำแหน่ง และแทบจะไม่ได้แสดงให้เห็น ถึงความผิดพลาดเลย และนี่คือ 5 ประเด็นหลังเกมที่เข้าใกล้คำว่า สมบูรณ์แบบ มากที่สุดเกมหนึ่ง
1. ฟอร์มอันสุดยอดของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ในเกม บอร์นมัธ พบ ลิเวอร์พูล
หลังจากที่ ลิเวอร์พูล ไม่ประสบความสำเร็จ ในการทุ่มเงินระดับ 100 ล้านปอนด์ เพื่อเซ็นสัญญากับ มอยเซส ไกเซโด ห้องเครื่องทีมชาติเอกวาดอร์ เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา, หลายคนมองว่า ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องหากองกลางตัวรับระดับคุณภาพ เข้ามาร่วมทีมให้ได้ ในตลาดนักเตะรอบนี้
อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ พิสูจน์ให้สาวกหงส์แดงทุกคน ได้เห็นแล้วว่า สามารถยืนปักหลักในตำแหน่งมิดฟิลด์เบอร์ 6 หน้าแผงแบ็คโฟร์ ได้เช่นกัน แม้ก่อนหน้านี้ ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่เหมาะสมกับบทบาทดังกล่าวก็ตาม และตัวนักเตะเอง ก็ไม่เคยงอแงกับบทบาทที่ได้รับเลย แม้แต่ครั้งเดียว
ในเกม บอร์นมัธ พบ ลิเวอร์พูล เกมนี้, แม็ค อัลลิสเตอร์ คุมจังหวะเกมในแดนกลางให้กับ ลิเวอร์พูล ได้อย่างยอดเยี่ยม และช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้กับทีมได้หลายครั้ง โดยทำสถิติความแม่นยำในการส่งบอลถึง 87%, จ่ายบอล 11 ครั้งในจังหวะสุดท้าย และสร้างโอกาสได้ 4 ครั้ง ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงคุณภาพของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ กองกลางแห่งทัพ “ฟ้าขาว” ยังเอาชนะการดวลตัวต่อตัวกับคู่แข่งมากถึง 12 จาก 17 ครั้ง และแย่งบอลจากคู่แข่งกลับมาครองได้อย่างน่าทึ่ง ถึง 15 ครั้ง เลยทีเดียว
สถิติของ แม็ค อัลลิสเตอร์ ในฤดูกาลนี้
2. คู่กองหลังที่ดีที่สุดของ พรีเมียร์ลีก
แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล คุมเกมแดนกลางได้เกือบทั้งหมด แต่ลูกทีมของ อันโดนี่ อิราโอลา ก็มีจังหวะสร้างความอันตรายอยู่พอสมควร, แต่ทัพนักเตะของ บอร์นมัธ กลับไม่สามารถผ่านด่านกำแพงเหล็กอย่าง ฟาน ไดจ์ค และ โคนาเต้ ได้เลย
ในเกมนี้ ฟาน ไดจ์ค ทำสถิติบล็อกลูกยิง 5 ครั้ง และเคลียร์บอลจังหวะอันตรายได้ถึง 4 ครั้ง ในขณะที่ โคนาเต้ เอาชนะการดวลกลางอากาศ 10 ครั้ง และเอาชนะการดวลตัวต่อตัวได้ 4 จาก 5 ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ ของทั้งคู่
หาก ลิเวอร์พูล สามารถทำให้ ฟาน ไดจ์ค และ โคนาเต้ ไม่เจอปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวน และฟิตพร้อมลงสนามอย่างสม่ำเสมอนั้น พวกเขาก็มีโอกาสได้ลุ้นแชมป์ไปยาว ๆ จนจบซีซัน ได้อย่างแน่นอน
3. ดาร์วิน นูนเญซ มีความมั่นใจมากขึ้น
หัวหอกชาวอุรุกวัย ไม่เพียงแต่จะยิง 2 ประตู ในเกม บอร์นมัธ พบ ลิเวอร์พูล เท่านั้น, แต่เขายังช่วยเพรสซิ่ง และสร้างจังหวะเกมรุกให้กับทีม จากการขยับโยกมาเล่นริมเส้น แถมยังวิ่งลงมาล้วงบอล และพาตัวเองเข้าไปอยู่ในกรอบเขตโทษ เพื่อคุกคามแนวรับเจ้าถิ่น
แม้ว่าการยิงได้เพียงประตูเดียวจาก 16 นัดหลังสุดนั้น จะไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับ นูนเญซ เ่ทาไหร่, แต่ฟอร์มการเล่นในนัดนี้ เริ่มมีสัญญาณที่ดีว่า เจ้าตัวกลับมาเล่นด้วยความมั่นใจอีกครั้ง และจะทำให้เกมรุกของ ลิเวอร์พูล มีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น
ขณะเดียวกัน มีตัวเลขที่หลายคนอาจคิดไม่ถึงคือ นูนเญซ กลายเป็นผู้เล่นคนแรกใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ ที่สามารถทำได้ 10 ประตู และอีก 10 แอสซิสต์
ไฮไลท์ บอร์นมัธ 0-4 ลิเวอร์พูล คลิก!!
4. คอเนอร์ แบรดลีย์ ลงเดบิวต์เป็นตัวจริง ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดแรก
ก่อนหน้านี้ มีความกังวลพอสมควรที่ ลิเวอร์พูล ต้องสูญเสียแบ็คขวาระดับโลกอย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จากปัญหาอาการบาดเจ็บ และคนที่ก้าวขึ้นมาทำหน้าที่แทนคือ คอเนอร์ แบรดลีย์ แบ็คขวาดาวรุ่งวัย 20 ปี ที่เป็นนักเตะจากทีมเยาวชน
ฟูลแบ็คทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ กลับทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจอีกครั้ง ในเกม บอร์นมัธ พบ ลิเวอร์พูล, หลังจากเจ้าตัวทำสถิติ เอาชนะการดวลคู่แข่งได้ถึง 6 ครั้ง ตัดบอล 9 ครั้ง และทำแอสซิสต์อีก 1 ครั้ง ให้กับ ดิโอโก โชต้า แต่เหนือสิ่งอื่นใด แบรดลีย์ ดูนิ่งเกินวัยอย่างมาก กับการได้ลงเล่นเป็นตัวจริงใน พรีเมียร์ลีก เกมแรก
สำหรับ คอเนอร์ แบรดลีย์ แล้ว เรียกได้ว่า เป็นการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวไปเป็นที่เรียบร้อย และทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ต้องทุ่มเงินเพื่อซื้อแบ็คขวาคนใหม่เข้ามาร่วมทีม และทำให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถจับ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไปเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ได้ง่ายขึ้น ในบางเกมที่ ลิเวอร์พูล อาจจะทำเกมรุกตื้อ ๆ ตัน ๆ หรือเจาะคู่แข่งไม่เข้า
5. เตรียมเจอศึกหนัก 2 เกมติด หลังจากเกม บอร์นมัธ พบ ลิเวอร์พูล
หลังจบเกมนัดนี้ ลิเวอร์พูล ยังคงรั้งตำแหน่งจ่าฝูงต่อไป โดยมีแต้มทิ้งห้างทีมอันดับ 2 อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ 5 คะแนน แต่แข่งมากกว่า 1 เกม โดยนัดต่อไป ลูกทีมของ คล็อปป์ จะเล่นในฟุตบอลถ้วย คาราบาว คัพ รอบรองฯ กับ ฟูแล่ม ต่อด้วย เอฟเอ คัพ รอบ 4 กับ นอริช ซิตี้
จากนั้น ลิเวอร์พูล จะต้องเจองานหนักในลีก 2 เกมติดต่อกัน ด้วยการเปิด แอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ เชลซี หลังจากนั้น จะบุกไปเยือน อาร์เซนอล ที่สนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ซึ่งเรียกได้ว่า เป็น 2 เกมที่จะชี้ชะตาว่า พวกเขายังจะอยู่ในกลุ่มลุ้นแชมป์ต่อไปหรือไม่
เมื่อมองถึงสภาพทีมโดยรวมแล้ว, ลิเวอร์พูล กำลังมีความมั่นใจ และมีความพร้อมอย่างมาก นอกจากนี้ 2 นักเตะหลักที่ไปรับใช้ชาติอย่าง วาตารุ เอ็นโด และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็น่าจะกลับมาแล้ว ซึ่งจะทำให้ หงส์แดง พร้อมรับมือกับโปรแกรมอันหนักหน่วง อย่างแน่นอน