เกมที่ ลิเวอร์พูล บุกไปเอาชนะ แอสตัน วิลลา ได้ 3-1 เก็บ 3 คะแนนในวันบ็อกซิงเดย์ ไม่ค่อยมีคนพูดถึงเท่าไหร่นักเนื่องจากโดนข่าวการย้ายทีมของ โคดี้ กัคโป กลบเสียมิดชิด
การออกสตาร์ทครึ่งฤดูกาลหลังด้วยชัยชนะถือเป็นนิมิตหมายอันดีของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ในการพาทีมลุ้นท็อปโฟร์ในฤดูกาลนี้ หลังจากที่ทำฟอร์มหล่นหายมาตั้งแต่ช่วงต้นซีซัน โดยก่อนหน้านี้เก็บชัยชนะได้เพียง 6 นัดและแพ้ไป 4 นัดมี 22 คะแนนจากการลงสนาม 14 เกม ซึ่งต่างจากฤดูกาลก่อนที่เล่นเท่ากันแต่เก็บได้ถึง 31คะแนนและแพ้ไปแค่เกมเดียว
แม้เกมในภาพรวมจะมีหลายอย่างที่น่าพูดถึงในแง่บวก แต่ยังมีแข้งรายหนึ่งที่โดนวิพากษ์วิจารณ์จากแฟนบอลและกูรูอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเจ้าตัวจะมีส่วนร่วมกับเกมและประตูที่เกิดขึ้น นั่นก็คือ ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าค่าตัว 100 ล้านยูโรที่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อตอนซัมเมอร์นั่นเอง
อันที่จริงดาวยิงอุรุกวัยโดนถล่มมาตั้งแต่เกม คาราบาวคัพ ที่แพ้ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาแล้ว จากการพลาดโอกาสเหน่ง ๆ ถึง 3 ครั้ง และมาในเกมนี้เจ้าตัวก็ยังคงมีช็อตหมูหกเหมือนเคย จนไม่อาจจะหยุดเสียงก่นด่าที่มาจากทั่วสารทิศได้
ดาวเตะวัย 23 ปีทำทุกอย่างที่นักเตะคนหนึ่งควรจะทำ ทั้งการเพรสซิ่ง การประสานงานกับเพื่อนร่วมทีม การสร้างโอกาส การช่วยทั้งเกมรุกและรับ เหลือเพียงอย่างเดียวที่เจ้าตัวทำไม่ได้ นั่นคือ การทำประตู
เมื่อดูจากคะแนนความสามารถที่สื่อใหญ่ ๆ มอบให้กับ นูนเญซ ก็ถือว่าอยู่ในเรตที่น่าพอใจ โดย This Is anfield และ Liverpool ECHO ให้ 7 คะแนน, ในขณะที่ Whoscored ก็ให้ใกล้เคียงกันที่ 6.8 แต่เมื่อคุณเป็นกองหน้าค่าตัวระดับ 100 ล้านที่ไม่สามารถยิงประตูใครได้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องโดนวิจารณ์อย่างหนักหน่วงเช่นนี้
แม้ว่าจะไม่มีสกอร์เกิดขึ้นแต่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็ยอมรับว่าเมื่อมองในภาพรวมแล้ว เขายังคงพอใจกับสิ่งที่ นูนเญซ แสดงออกมา
“ผมมองว่าเขามีเกมที่ยอดเยี่ยม บางทีชีวิตของคนเรามันก็ไม่ค่อยยุติธรรมแบบนี้แหละ แต่ผมก็เชื่อมั่นว่าเขาจะกลับมาทำประตูได้อีกไม่นาน และเมื่อดูจากสิ่งต่าง ๆ ที่เขาทำให้กับเรา ผมไม่เคยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”
สิ่งที่ คล็อปป์ พูดนั้น คือการแสดงความเชื่อมั่นในตัวลูกทีม ซึ่งเขาทำกับทุกคนและทำมาตลอด ไม่ว่านักเตะคนนั้นจะฟอร์มตกต่ำย่ำแย่ขนาดไหน เขาก็ไม่เคยออกมาด่าใครออกสื่อแม้แต่ครั้งเดียว แต่เมื่อถอดจากคำสัมภาษณ์จะพบว่ามีอยู่ประโยคหนึ่งที่มันสะท้อนถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับ ดาร์วิน นูนเญซ ในเวลานี้ นั่นคือคำว่า
“บางทีชีวิตของคนเรามันก็ไม่ค่อยยุติธรรมแบบนี้แหละ”
นั่นเป็นเพราะว่า ในขณะที่กองหน้าชาวอุรุกวัยพยายามอย่างหนักที่จะทำประตูเพื่อคลายความกดดันจากเสียงวิจารณ์ แต่กลายเป็นเจ้าหนู สเตฟาน บายเซติช ที่สามารถเบิกสกอร์แรกในชีวิตให้กับตัวเองได้สำเร็จซะอย่างนั้น
ดาวรุ่งชาวสแปนิชถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ในนาทีที่ 79 และในอีก 2 นาทีต่อมา ก็สามารถยิงประตูปลดเปลื้องความกดดันและย้ำชัยให้กับ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ ชนิดที่เจ้าตัวก็ยังไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“มันเหลือเชื่อ ผมถูกส่งลงมาในสนามพยายามวิ่งและช่วยเกมรับ นั่นคืองานของผม“
“ผมเห็น ดาร์วิน วิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษและคิดว่าเราต้องเข้าไปอยู่แถว ๆ นั้น แล้วบอลก็มาทางผมพอดี ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นประตู ผมเห็นบอลถูกวางยาวมาและก็รู้ว่า ดาร์วิน นั้นมีความเร็วและยอดเยี่ยมขนาดไหน ผมรู้ว่าเขาต้องทำอะไรกับบอลแน่ ๆ เลยขยับเข้าไปและบอลก็มาเข้าทางพอดี”
จริง ๆ แล้วก่อนหน้านี้ บายเซติช ก็ได้รับการจับตามองและมีเสียงชื่นชมมาพอสมควร จากผลของการเก็บตัวที่ ดูไบ เมื่อช่วงเบรกฟุตบอลโลก แล้วก็มาแผลงฤทธิ์ในเกมกับ วิลลา ในวันบ็อกซิงเดย์ ทำให้เขายิ่งเป็นที่พูดถึงมากขึ้นไปอีกในฐานะแข้งแห่งอนาคต บางคนยกให้เป็นทายาทของ ติอาโก้ อัลคันทารา ด้วยซ้ำ
สวนทางกับ นูนเญซ ที่พยายามเท่าไหร่ก็ยังไม่มีประตูซักที ซึ่งทำให้เกิด 2 มุมมองที่เกิดขึ้นในเกมเดียว คือ คำชมที่มีต่อแข้งดาวรุ่งและเสียงวิจารณ์ที่ถาโถมใส่ดาวเตะค่าตัวแพง
มองในด้านของกองกลางวัย 18 ปี เขายังมีโอกาสพลาดและพัฒนาตัวเองได้อีกมาก แถมไม่ต้องกดดันเรื่องค่าตัวมหาศาล ในขณะที่ นูนเญซ นั้น แม้เล่นดีขนาดไหน แต่ถ้าทำโอกาสหลุดลอยและยังไร้สกอร์แบบนี้ ย่อมทำให้แฟนบอลผิดหวังเป็นธรรมดา
ดังนั้น การกลับมายิงประตูให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จะช่วยให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นและเสียงวิจารณ์ก็จะเลือนหายไปเองโดยอัตโนมัติ….