วันก่อน ฟาบริซิโอ โรมาโน คนข่าวระดับ เทียร์ 1 ซึ่งหมายความว่ามีความน่าเชื่อถือมากที่สุดในวงการได้ออกมาทวิตข่าวเรื่องสัญญาของ เปาโล ดิบาลา กับ ยูเวนตุส ที่เดินทางมาถึงทางตัน และนักเตะก็พร้อมที่จะย้ายทีมแบบไม่มีค่าตัวหลังจบซีซัน
สำหรับรายละเอียดเรื่องความขัดแย้งพอจะสรุปได้ว่า เมื่อเดือนธันวาคมทางแข้งอาร์เจนไตน์และ ยูเว่ ได้ตกลงกันเรียบร้อยตั้งแต่เดือนตุลาคมว่าเขาจะได้รับเงินค่าเหนื่อยปีละ 8 ล้านยูโรบวกกับโบนัสอีก 2 ล้านยูโร โดยขยายอายุสัญญาไปถึงปี 2026 จากเดิมที่ขอไปปีละ 10 ล้านยูโร โดยจะมีการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการหลังจบฤดูกาล
ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะลงตัวแล้ว, แต่หลังจากนั้น ดิบาลา กลับได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง ทำให้เจ้าตัวลงเล่นให้กับทีมได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เป็นเหตุผลที่ทางทีม เบียงโคเนรี ต้องมานั่งทบทวนเรื่องสัญญาใหม่อีกรอบ เพราะมันค่อนข้างเสี่ยงกับการจ่ายเงินระดับ 8 ล้านยูโรต่อปีแต่ไม่ได้ใช้งานนักเตะอย่างเต็มที่ โดยข้อเสนอใหม่ที่ทางสโมสรยื่นให้คือขอลดเงินลงเหลือเพียง 7 ล้านยูโรต่อปี ส่วนโบนัสก็ว่ากันตามจำนวนนัดและผลงานในการลงสนาม
แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้ ดิบาลา และเอเยนต์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงเป็นที่มาของข่าวที่ว่าพวกเขาจะไม่เจรจากับต้นสังกัดอีกแล้วและพร้อมจะย้ายทีมแบบไม่มีค่าตัวในช่วงซัมเมอร์นี้ทันที
และเมื่อมีข่าวนี้ออกมา ลิเวอร์พูล ก็กลายเป็นหนึ่งทีมที่ถูกเชื่อมโยงกับแข้งวัย 28 ปี เพราะว่าก่อนหน้านั้นพวกเขาก็เคยมีข่าวกันมาแล้วในช่วงซัมเมอร์ ซึ่งเป็นช่วงที่นักเตะและต้นสังกัดยังไม่ได้เจรจาสัญญาฉบับใหม่กัน
คำถามที่ตามมาก็คือ เปาโล ดิบาลา เหมาะสมที่จะสวมเสื้อ หงส์แดง ในฤดูกาลหน้าจริงหรือ?! หาก เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องการจะเสริมทัพครั้งใหม่ในช่วงซัมเมอร์นี้
ดังนั้น เราจึงลองเอาปัจจัยต่าง ๆ มาพิจารณาเป็นข้อ ๆ เพื่อดูว่า นักเตะรายนี้มีสิทธิที่จะได้มาค้าแข้งในถิ่น แอนฟิลด์ หรือไม่
- อายุ – ตอนนี้ ดิบาลา มีอายุ 28 ปีซึ่งถือได้ว่าอยู่ในช่วงพีคของอาชีพนักเตะ เรียกได้ว่าอายุเท่านี้ ซื้อมาไม่ต้องปั้นอะไรแล้ว ลงเล่นได้แทบจะทันที ดูอย่าง ติอาโก้ อัลคันทารา ที่ย้ายมาจาก บาเยิร์น มิวนิค ตอนอายุ 29 ใช้เวลาปรับตัวไม่นานก็สามารถกลายเป็นกำลังสำคัญของทีมได้ ทำไมดาวเตะ ยูเวนตุส ที่มีอายุน้อยกว่าจะทำแบบนั้นไม่ได้
อาจจะติดอยู่อย่างหนึ่งคือ นโยบายของ ลิเวอร์พูล มักจะซื้อนักเตะในระดับอายุ 24-26 ปี ไล่มาตั้งแต่ ซาดิโอ มาเน, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม, นาบี เกอิต้า, ฟาบินโญ, อลิสซอน เบ็คเกอร์, ดิโอโก้ โชต้า, คอสตาส ซิมิคาส และล่าสุด หลุยส์ ดิอาซ แข้งนี้ย้ายมาเล่นใน แอนฟิลด์ ตอนที่อายุยังไม่เกิน 26 ปีซักคน
แต่อย่างไรก็ตาม, เคสของ ดิบาลา อาจเป็นข้อยกเว้นเหมือนกับ ติอาโก้ ก็ได้
- ผลงาน – กองหน้าฟ้าขาวลงเล่นให้กับ ยูเวนตุส ไปทั้งหมด 283 นัด ยิงได้ 113 ประตูและทำไป 48 แอสซิสต์ เฉลี่ยแล้วลงเล่น 2.5 นัดทำได้ 1 ประตู ซึ่งหากนับเฉพาะการเล่นใน เซเรีย อา ยิงไปทั้งหมด 80 ประตูจากการลงเล่น 202 นัดเฉลี่ยแล้วทำได้ 1 ประตูต่อ 2.5 นัดเท่ากัน
อย่างไรก็ดี, สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ ตั้งแต่ซีซัน 2018-2019 เป็นต้นมา ดิบาลา ยิงในลีกได้เกิน 10 ประตูเพียงซีซันเดียวคือในปี 2019-2020 ทำไปได้ 11 ประตู ซึ่งอุปสรรคสำคัญคืออาการบาดเจ็บที่เล่นงานเขาตลอดในช่วง 2-3 ปีหลัง
- สไตล์การเล่น – แข้ง ยูเว สามารถเล่นได้ทั้งกองหน้าตัวเป้าและกองหน้าตัวต่ำหรือ Second Striker ถือเป็นนักเตะที่มีจุดแข็งที่เทคนิคดีและไปกับบอลได้ดีตามสไตล์นักเตะอาร์เจนไตน์ ถ้านึกไม่ออกว่าเขาเล่นแบบไหนลองคิดถึงสไตล์ของ ลีโอเนล เมสซี ที่ลดความคล่องตัวและความเร็วลงซัก 40-50% (แม้จะลดลงขนาดนั้นก็ยังเหนือกว่านักเตะทั่ว ๆ ไป เพราะ เมสซี นั้นถือเป็นผู้เล่นที่พิเศษสุด ๆ บนโลกลูกหนังอยู่แล้ว) แต่ก็ไม่ได้ยิงประตูเยอะแยะเหมือนรุ่นพี่ในทีมชาติ
บางคนอาจมองว่า คล็อปป์ น่าจะจับ ดิบาลา ไปยืนปีกได้ ซึ่งก็ไม่แน่เสมอไปเพราะเมื่อไปดูสถิติการเล่นริมเส้นของเจ้าตัวแล้วไม่ค่อยจะเวิร์คเท่าไหร่ เนื่องจากไม่ใช่นักเตะที่มีความเร็ว แม้จะมีเทคนิคและความสามารถเฉพาะตัวที่ไม่เป็นสองรองใครก็ตาม ซึ่งแนวทางการเล่นของ ลิเวอร์พูล นั้นชอบนักเตะที่ไปกับบอลแบบติดสปีดมากกว่า ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ หลุยส์ ดิอาซ สามารถปรับตัวได้เร็ว
ตลอดอาชีพการค้าแข้งของดาวเตะอาร์เจนไตน์นั้น ส่วนใหญ่เจ้าตัวถูกจับไปยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า โดยลงเล่นไป 165 นัดยิงได้ 60 ประตูทำได้ 33 แอสซิสต์ ในขณะที่เล่นเป็นหน้าต่ำไป 139 นัดทำได้ 56 ประตู 24 แอสซิสต์ แต่เมื่อดูค่าเฉลี่ยในการทำประตูจะเห็นว่าการยืนเป็นกองหน้าคนที่สองจะมีค่าเฉลี่ยที่ต่ำกว่าที่ 2.37 นัดต่อ 1 ประตูในขณะที่ตอนยืนหน้าเป้ามีค่าเฉลี่ยที่ 2.7 นัดต่อ 1 ประตู
ส่วนการเล่นในตำแหน่งปีกซ้าย-ขวาและกองกลางตัวรุกได้ลงสนามรวมกันเพียง 56 นัดทำได้ 18 ประตูกับ 7 แอสซิสต์เท่านั้น
- ความฟิต – เรารู้กันดีว่าคุณสมบัติที่สำคัญในการเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล ก็คือเรื่องความฟิต เพราะการเล่นแบบเกเก้นเพรสซิ่ง ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ นั้นต้องใช้พละกำลังมหาศาล ยิ่งเล่นใน พรีเมียร์ลีก ที่เป็นลีกที่วิ่งกันตั้งแต่นาทีแรกจนนาทีสุดท้ายแบบนี้ ความฟิตของคุณจะต้องเกิน 100 และลงเล่นต่อฤดูกาลไม่ต่ำกว่า 30-40 นัดในทุกรายการ
เมื่อมาพิจารณาจากประวัติของ ดิบาลา นับตั้งแต่ย้ายมาแล่นกับ ยูเวนตุส เมื่อปี 2015 เขาได้รับบาดเจ็บไปแล้ว 15 ครั้ง โดยเฉพาะในช่วง 2 ฤดูกาลหลังสุดที่โดนอาการบาดเจ็บเล่นงานไปทั้งหมด 7 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นแฮมสตริง, ปัญหากล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น ซึ่งถือว่าเป็นอุปสรรคสำคัญต่อฟอร์มการเล่นของเขาในช่วงหลัง และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้นสังกัดเลือกที่จะยอมปล่อยตัวฟรีหลังหมดสัญญา ซึ่งเรื่องนี้ ลิเวอร์พูล คงต้องคิดให้หนักเหมือนกัน
5.ค่าเหนื่อย – ปัจจุบัน เปาโล ดิบาลา รับค่าเหนื่อยอยู่ที่ประมาณ 2.25 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ สูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจาก มาตไตส์ เดอ ลิกต์ ที่รับอยู่ 2.4 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ (อ้างอิงจากจากเว็บไซต์ sillyseason.com) นั่นหมายความว่าการย้ายทีมแบบไม่มีค่าตัวในครั้งนี้ จะทำให้เขาสามารถเรียกเงินกับทีมใหม่ได้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 3 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์
จุดนี้น่าจะเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญของ ลิเวอร์พูล ว่าพวกเขาพร้อมจะจ่ายเงินค่าเหนื่อยตามที่นักเตะเรียกร้องได้หรือไม่?! ถ้าแลกกับการที่ไม่ต้องจ่ายค่าตัวมหาศาลในช่วงซัมเมอร์
อย่างไรก็ตาม, เมื่อนำปัจจัยทุกอย่างมาคิดวิเคราะห์รวมกันจะพบว่า เปาโล ดิบาลา อาจไม่ใช่นักเตะที่เหมาะกับ ลิเวอร์พูล ซักเท่าไหร่ ซึ่งเชื่อว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ น่าจะมีตัวเลือกเอาไว้ในใจอยู่แล้วเมื่อตลาดซัมเมอร์เปิดทำการอีกครั้ง