กว่าที่ ลิเวอร์พูล จะเอาชนะ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ได้ในศึก เอฟเอคัพ รอบควอเตอร์ไฟนอลเมื่อคืนวันอาทิตย์ ต้องใช้คำว่า “หืดขึ้นคอ” กันเลยทีเดียว
จริงอยู่เมื่อดูตามหน้ากระดาษ, ไม่ว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ จะจัดนักเตะชุดใหญ่คนไหนลงสนามก็เชื่อว่าพวกเขาเหนือกว่าทีมเจ้าบ้านอย่างไม่ต้องสงสัย หากแต่นี่มันคือ เอฟเอคัพ ถ้วยที่เปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังและคำว่า “พลิกล็อค” ตลอดทั้งรายการ
และหนึ่งทีมที่สร้างความพลิกล็อคในถ้วยนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เองนี่แหละที่ผ่านทั้ง อาร์เซนอล และ เลสเตอร์ ซิตี้ มาชนิดที่ไม่มีใครคาดคิด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์เลยที่ลูกทีมของนายใหญ่ชาวเยอรมันต้องเจอกับเกมที่ไม่ง่ายในการออกไปเยือน ซิตี้ กราวน์
ตอนจบครึ่งแรกที่เสมอกันอยู่ 0-0 คิดว่าคงทำให้ใครหลายคนออกอาการหงุดหงิดกันบ้าง เพราะเจอกับทีมต่างดิวิชันแบบนี้ แต่แข้ง ลิเวอร์พูล กลับเล่นได้อย่างสูสีซะอย่างงั้น แม้จะครองบอลได้มากกว่าตามสไตล์ แต่ก็มีโอกาสที่จะโดนอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
แข้งสำรองอย่าง คอสตาส ซิมิคาส, โจ โกเมซ, อิบราฮิมา โคนาเต้, อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด–แชมเบอร์เลน, ฮาร์วีย์ เอลเลียต, และ นาบี เกอิต้า ได้โอกาสลงสนาม แต่ก็ไม่ได้เล่นกันได้อย่างไหลลื่น รูปเกมจึงดูขาด ๆ เกิน ๆ ดีที่มาตรฐานของ ฟอเรสต์ ไม่ได้สูงมาก จังหวะสุดท้ายจึงไม่เด็ดขาดพอ
คล็อปป์ ก็รู้ว่าเกมนี้ แม้พวกเขาจะเหนือกว่าแต่เกมยังดูตื้อตัน ดังนั้นการเปลี่ยนตัวจึงเป็นคำตอบสุดท้ายและก็ทำให้ได้มาซึ่งประตูชัยจาก ดิโอโก้ โชต้า
และก็เป็นอีกเกมที่ ลิเวอร์พูล สามารถเอาตัวรอดมาได้
อย่างไรก็ตาม, งานยากและของจริงกำลังจะมาถึงหลังจากนี้
ทุกทีมจะเข้าสู่ช่วงเบรคทีมชาติก่อนที่จะกลับมาเจอกับโปรแกรมโค้งสุดท้ายของฤดูกาล ซึ่ง เดอะเร้ดส์ ต้องพบกับเกมสุดโหดในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งจะสามารบอกได้เลยว่าพวกเขาจะยังอยู่บนเส้นทางการลุ้น 4 แชมป์อย่างที่กองเชียร์หวังเอาไว้ได้หรือไม่
วัตฟอร์ด, เบนฟิก้า (2 นัด ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก), แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2 นัด พรีเมียร์ลีก และ เอฟเอคัพ), แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เอฟเวอร์ตัน และ นิวคาสเซิล คือทีมที่พวกเขาจะต้องเจอ ซึ่งแน่นอนว่าแม้จะดูจากชื่อชั้นของบางทีมอาจไม่ใช่งานยาก แต่ช่วงโค้งสุดท้ายแบบนี้ไม่มีทีมใดยอมง่าย ๆ อย่างแน่นอน
แมนฯ ซิตี้ คือจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก, แมนฯ ยูไนเต็ด ลุ้นไป แชมเปี้ยนส์ลีก, เอฟเวอร์ตัน คือเกมดาร์บี้แม็ตช์และลุ้นหนีตกชั้นเช่นเดียวกับ วัตฟอร์ด และ นิวคาสเซิล ในขณะที่ เบนฟิก้า คือยอดทีมจาก พรีไมรา ลีก้า….ดูแล้วไม่มีเกมไหนง่ายเลยแม้แต่นิดเดียว !!
บางคนอาจคิดว่างานเบาน่าจะอยู่ที่ เบนฟิก้า เพราะขนาดเจอ ปอร์โต้ ซึ่งเป็นแชมป์ลีกโปรตุเกสในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเด็ก ๆ ของ คล็อปป์ ก็ตบเรียบมาแล้ว ซึ่งตอนที่ทราบผลการจับฉลากในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เชื่อว่าเด็กหงส์หลายคนอาจกระโดดโลดเต้นดีใจที่ได้เจอกับทีมที่อ่อนที่สุดในรอบนี้ หากแต่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ได้มองเช่นนั้น
“ผมตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ นี่คือรอบก่อนรองชนะเลิศ มันเป็นเกมที่ยาก เบนฟิก้า ทำได้ดีในการเจอกับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ผมรู้ว่าทุกคนมองเราว่าเป็นต่อ แต่นั่นคือความผิดพลาดอย่างแรกที่คุณจะทำ เราอยู่ในวางการนี้มานานเกินกว่าจะทำเรื่องผิดพลาดอะไรแบบนี้”
“ผมเคารพในสิ่งที่พวกเขาทำหลายอย่าง และพวกเขาก็เป็นสโมสรใหญ่”
แน่นอนว่าไม่มีอะไรง่ายเมื่อเข้าสู่รอบลึก ๆ ในถ้วยยุโรป บาร์เซโลนา ซึ่งอยู่สายเดียวกับ เหยี่ยวลิสบอน ในรอบแบ่งกลุ่มยังตกรอบมาแล้ว
นอกจากนั้นเราต้องไม่ลืมว่าไม่ใช่ ลิเวอร์พูล เท่านั้นที่กำลังลุ้น 4 แชมป์ เพราะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ก็พร้อมสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็น “ทริปเปิลแชมป์” เช่นกัน และพวกเขาก็พร้อมทำให้ทุกเกมที่เหลือคือนัดชิงชนะเลิศ…เหมือนกับที่ คล็อปป์ เคยพูดเอาไว้
“ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ช่วงเบรคทีมชาติ และเหลือเวลาอีกเพียง 2 เดือนในฤดูกาลนี้ซึ่งเรายังมีลุ้นทั้ง 3 รายการ ทั้งการเข้ารอบเซมิไฟนอล เอฟเอคัพ, รอบควอเตอร์ไฟนอล แชมเปี้ยนส์ลีก และเป็นจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก ซึ่งเรารู้ว่าต่อจากนี้ทุกเกมคือนัดชิงชนะเลิศ และเราก็รู้ว่าเกมในวันนี้ก็สำคัญเช่นเดียวกัน” เป๊ป กล่าวหลังจากเอาชนะ เซาแธมป์ตัน 4-1 ในเกม เอฟเอคัพ เมื่อวันอาทิตย์
ดังนั้นเกมกับ ฟอเรสต์ จึงเป็นแค่การชิมลางและเป็นจุดเริ่มต้นของบททดสอบที่กำลังจะมาถึงในเดือนเมษายน ซึ่งทุกเกมต่อจากนี้จะเป็นเกมที่มีความหมาย
ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เฉพาะกับ ลิเวอร์พูล เท่านั้น…