เมื่อพูดถึงการอำลาทีมหลังจบฤดูกาลของ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้อำนวยการสโมสรฝีมือระดับพระกาฬของ ลิเวอร์พูล, แน่นอนว่า แฟนบอลหลายคนมีความกังวลพร้อมกับคำถามที่ว่า ทิศทางของสโมสรในอนาคตจะเป็นอย่างไร? การซื้อขายจะคุ้มค่าเหมือนเดิมหรือไม่? และทีมจะประสบความสำเร็จได้ภายใต้การนำของผู้อำนวยการคนใหม่ได้หรือเปล่า?!
เพราะเราต้องไม่ลืมว่าผู้บริหารหนุ่มคนนี้คือหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่นำพา หงส์แดง ให้กลับมาเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ของเกาะอังกฤษได้อีกครั้ง
ซาดิโอ มาเน, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โจเอล มาติป, ฟาบินโญ, เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และ อลิสซอน เบ็คเกอร์ รายชื่อนักเตะเหล่านี้คือผลงานและวิสัยทัศน์ของ เอ็ดเวิร์ดส์ ทั้งนั้น ซึ่งท้ายที่สุดพวกเขาเล่านี้ก็คือกำลังหลักของทีมในยุครุ่งเรืองภายใต้ผู้จัดการทีมชั้นยอดอย่าง เยอร์เก้น คล็อปป์
ยังไม่นับการทำกำไรจากนักเตะที่ไม่ได้ใช้งานอย่าง โดมินิค โซลันกี้ หรือ ริอาน บรูวสเตอร์ รวมทั้ง ฟิลิปเป้ คูตินโญ ที่ถือว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของหนุ่ยใหญ่วัย 40 กว่า ๆ รายนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เมื่อ เอ็ดเวิร์ดส์ ประกาศอำลาทีมมันได้สร้างความกังวลอย่างมากมายให้แฟนบอล
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของ หงส์แดง, เยอร์เก้น คล็อปป์ และ FSG ที่ต้องเสียบุคลากรมือดีไป เพราะก่อนหน้านั้นพวกเขาเจอกับกับการเปลี่ยนแปลงแบบกระทันหันและรุนแรงกว่านี้มาแล้ว !!!
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายน ปี 2018, แฟนบอล ลิเวอร์พูล ต้องพบเจอกับข่าวสุดช็อค หลังจากที่มีรายงานว่า เซลโก้ บูวัช ได้เก็บข้าวของออกจากสโมสรแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยก่อนเกมที่พวกเขาจะพบกับ โรมา ในรอบเซมิไฟนอล เลกที่ 2 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เพียง 2 วัน
ชายผู้ได้รับฉายาว่า “เดอะเบรน” หรือคนที่เปรียบเหมือนมันสมองของกุนซือชาวเยอรมัน ทั้งคู่ทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2001 ก่อนที่จะแยกทางกันแบบไม่เผาผีในอีก 17 ปีต่อมา ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้สาเหตุที่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกับอดีตเพื่อนสนิทคู่นี้
ในช่วงแรก ๆ หลังการอำลาของ บูวัช, เมื่อใดที่ ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้ไม่ดี ชื่อของเขามักจะถูกอ้างถึงเสมอ บางคนถึงขนาดปรามาสว่า เมื่อ คล็อปป์ ไร้ บูวัช ก็เหมือนกับเขาไร้มันสมองในการทำทีม ซึ่งแน่นอนว่าในระยะสั้นมันส่งผลอย่างมหาศาลต่อการทำงานของอดีตนายใหญ่ ดอร์ทมุนด์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็ได้พิสูจน์แล้วว่า มันเป็นเพียงสัจธรรมที่บ่งบอกแสดงให้เห็นถึงวิถีทางที่เกิดขึ้นเสมอในโลกของฟุตบอลเท่านั้น
การจากไปของ เดอะเบรน นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในทีมสตาฟฟ์ ซึ่งฝั่งของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เองก็รับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นและมีการหาทางออกอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้มีการเติมเชื้อไฟหรือโหมกระแสให้รุนแรงจนบานปลาย ความขัดแย้งของเขาและอดีตเพื่อนรักถูกจำกัดกรอบไว้เพียงเรื่องของฟุตบอลเท่านั้น และเขาก็ลงมือแก้ปัญหานี้ด้วยวิถีของฟุตบอลเหมือนกัน
ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เป๊ป ลินเดอร์ส โดนดึงตัวกลับมายังสโมสรอีกครั้ง หลังจากที่เขาอำลาทีมไปในปี 2018 เพื่อหาประสบการณ์ในการคุมทีมอย่างเต็มตัวที่ฮอลแลนด์บ้านเกิด แต่เขาก็ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวัง และเขาก็คือคนที่กุนซือลิเวอร์พูล ไว้วางใจให้เข้ามารับหน้าที่แทน บูวัช ในฐานะของผู้ช่วยผู้จัดการทีมโดยทำงานร่วมกับ ปีเตอร์ คราเวียตซ์ ทีมงานคนสำคัญอีกคนที่เคียงข้าง คล็อปป์ มาตลอด
จากนั้นไม่นานเสียงโหยหา เซลโก้ บูวัช ก็ถูกกลบด้วยเสียงโห่ร้องดีใจกันอย่างสุดเหวี่ยง หลังจบเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2019 ที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ไปได้ 2-0 คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ก่อนที่ในปีต่อมาพวกเขาจะเดินหน้ากวาดแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ, แชมป์สโมสรโลก และ แชมป์พรีเมียร์ลีก ถ้วยที่ทุกคนรอคอยมานานกว่า 30 ปี
นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ได้อย่างดีถึงการบริหารงานของ ลิเวอร์พูล ในฐานะสโมสรฟุตบอลและการทำงานร่วมกันของทีมสตาฟฟ์ภายใต้การดูแลของ เยอร์เก้น คล็อปป์
ส่วน เป๊ป ลินเดอร์ส เองก็ถูกยกสถานะให้เท่าเทียมกับ ปีเตอร์ คราเวียตซ์ หรือ ดิอาย (The Eye) ผู้ซึ่งทำงานร่วมกับ คล็อปป์ มาตั้งแต่สมัยที่คุม ไมน์ซ สโมสรแรกของเขาในฐานะเฮดโค้ช
จุดเด่นของนายใหญ่ หงส์แดง ไม่ใช่แค่การแก้เกมหรือการวางระบบให้กับทีมเท่านั้น แต่เขายังคือคนที่เต็มใจรับฟังทีมงานทุกคนเพื่อรับข้อมูลต่าง ๆ ก่อนที่จะประมวลออกมาเป็นแผนการเล่นในแต่ละนัด และนั่นคือกุญแจแห่งความสำเร็จของเขาหลังไร้เงาของ เซลโก้ บูวัช
แน่นอนว่าความขัดแย้งของ คล็อปป์ และ เดอะเบรน อาจจะยังเป็นปริศนา แต่ทุกอย่างก็จบลงและต่างคนต่างก็เดินหน้าต่อไปในเส้นทางของตัวเอง จากกรณีนี้ก็น่าจะทำให้ เดอะค็อป หลายคนอุ่นใจได้บ้างว่าหลังการจากไปของ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ พวกเขาก็ยังคงอยู่บนเส้นทางที่จะได้รับการสานต่อเป็นแน่แท้
และที่สำคัญ ตราบใดที่เรายังมีชายที่ชื่อ เยอร์เก้น คล็อปป์ อยู่กับทีมเชื่อว่า ลิเวอร์พูล ก็ยังคงมีลุ้นความสำเร็จในอนาคตได้อย่างแน่นอน…