เกม พรีเมียร์ลีก นัดแรกที่ไม่มี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน ผ่านพ้นไปด้วยชัยชนะที่ค่อนข้างจะเหนือความคาดหมายนิด ๆ ต่อ เบรนท์ฟอร์ด ที่เคยสร้างความเจ็บแสบเอาไว้เมื่อตอนเจอกันในนัดแรก
เชื่อว่าก่อนเกมหลายคนก็คงคิดว่า นัดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะ ผึ้งพิฆาต ทีมนี้ได้ หากแต่สุดท้ายกลับได้ผลที่น่าพอใจสุด ๆ ด้วยการชนะอย่างท่วมท้นไปด้วยสกอร์ 3-0
และหลายคนคงหวังให้ ดิโอโก้ โชต้า และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน ช่วยกันผลิตสกอร์แทนที่ ซาลาห์ กับ มาเน ที่แว๊บไปช่วยทีมชาติลงเล่นในศึก แอฟริกา คัพ ออฟ เนชันส์ ตลอดทั้งเดือนมกราคม แต่จนแล้วจนรอดทั้งคู่ก็ไม่สามารถส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายได้
กลายเป็นว่าคนที่ปลดล็อคให้กับทีมคือ ฟาบินโญ กองกลางเชิงรับชาวบราซิลเลียนไปซะอย่างนั้น…
ประตูที่ “หมอปลา” โขกตุงตาข่ายในนาทีที่ 44 นอกจากจะเป็นประตูช่วยให้ ลิเวอร์พูล เล่นได้อย่างสบายใจในช่วงครึ่งหลังแล้ว ยังถือเป็นประตูที่ 3 ใน 3 นัดหลังสุดของเจ้าตัวอีกด้วย
แม้ว่า 2 จาก 3 ประตูที่ทำได้นั้นมาจากการยิงใส่ ชรูวส์บิวรี ทีมจากลีกวันก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคือนักเตะที่มีบทบาทสำคัญในช่วงที่ทีมต้องการชัยชนะเพื่อสร้างความมั่นใจแบบนี้
หากติดตาม ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้กันดี ๆ จะพบว่า พวกเขามักทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนัก ในยามที่ ฟาบินโญ ไม่ได้ลงสนามหรือตอนที่ยังไมฟิตเต็มร้อย
ตรงกันข้าม เมื่อแข้งแซมบ้าฟิตเต็มถังและอยู่ในฟอร์มที่สุดยอด ถือได้ว่าเขาคือนักเตะที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เลยก็ว่าได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเกมที่เอาชนะ เบรนท์ฟอร์ด เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี่แหละ
ประตูเบิกร่องในนาทีที่ 44 ของ ฟาบินโญ นั้นสำคัญต่อทีมเป็นอย่างมาก หลังจากที่ก่อนหน้านั้น 40 กว่านาที เดอะเร้ดส์ พยายามอย่างหนักในการพังตาข่ายผู้มาเยือน โดยเฉพาะกองหน้าที่มีอยู่อย่าง ฟีร์มีโน และ โชต้า ที่ยิงทิ้งยิงขว้างไปหลายช็อต
นอกจากทีเด็ดในการทำประตูแล้ว กองกลางทีมชาติบราซิลยังเป็นหัวใจในแดนกลางและการคอนโทรลเกม ซึ่งทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ครองบอลเกือบ 80% ในเกมดังกล่าว
นอกจากการยืนปัดกวาดอันตรายอยู่หน้าแผงเกมรับซึ่งเป็นหน้าที่หลักของเจ้าตัวแล้ว ฟาบินโญ ยังมีส่วนในการทำลายเกมรุกและเกมโต้กลับของ เบรนท์ฟอร์ด ที่หมายจะใช้แท็คติกนี้ย้ำแค้นใส่เจ้าบ้านอีกหน หลังจากที่เคยทำสำเร็จมาแล้วเมื่อช่วงต้นฤดูกาล
การมี ฟาบินโญ อยู่ในแดนกลางทำให้บอลของ เดอะบีส์ ถูกบีบให้ต้องเล่นโยนยาวอยู่บ่อยครั้ง โดยมี เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และ โจเอล มาติป ที่คอยตามเก็บตามเช็ดแนวรุกทีมเยือนอยู่อีกชั้น ทำให้เล่นยากขึ้น แม้ว่าจะมีจังหวะเสียวอยู่บ้างก็ตาม
หลังจบเกมสถิติของ หมอปลา ฟ้องว่าเขาเป็นนักเตะที่เล่นเกมรับได้ดีที่สุดคนหนึ่งในนัดนี้ จากการเอาชนะการดวลหนึ่งต่อหนึ่งได้ถึง 8 จาก 11 ครั้ง เอาชนะลูกกลางอากาศได้ 7 จาก 8 ครั้ง แย่งบอลจากคู่ต่อสู้ได้ 2 ครั้งและสามารถแย่งบอลกลับมาครองได้ทั้งหมด 7 หน
แต่ไม่ใช่แค่เกมรับเท่านั้นที่ทำให้แข้งบราซิลเลียนโดดเด่น ผลงานในการทำเกมรุกก็จัดจ้านไม่แพ้กัน โดย ฟาบินโญ สร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมได้ 4 ครั้ง เท่ากับ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์–อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน จ่ายบอลเข้าเป้ามากที่สุดในเกมถึง 66 ครั้ง และผ่านบอลสำเร็จเฉลี่ยสูงถึง 92%
จากสถิติที่ได้เห็นและผลงานที่ผ่านมา เราอาจจะบอกได้ว่าแข้งวัย 28 ปีรายนี้ คือคีย์แมนในระบบ 4-3-3 ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็ว่าได้, เพราะในยามที่เขาไม่ได้ลงสนามหรือลงเล่นในสภาพที่ไม่ฟิตเต็มร้อย ลิเวอร์พูล ก็ทำผลงานได้ไม่ดีนัก ดังที่ได้เห็นในเกมเสมอ ไบรท์ตัน และ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ และเกมพ่าย เวสต์แฮม และ เลสเตอร์ ซิตี้
แน่นอนว่าเกมรุกที่มี โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน และ ดิโอโก้ โชต้า รวมทั้งการสร้างสรรค์ของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์–อาร์โนลด์ ต่างก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่น่าเกรงขาม แต่หากถามว่านักเตะคนใดที่ทีมจะขาดไปไม่ได้ ชื่อของ ฟาบินโญ น่าจะเป็นคำตอบนั้น
และผลงานของเขาในเกมกับ เบรนท์ฟอร์ด คือสิ่งที่พิสูจน์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี…