
การประกาศย้ายทีมเพื่อหาความท้าทายใหม่ ๆ ของ ซาดิโอ มาเน อาจไม่ได้ทำให้แฟนบอลรู้สึกประหลาดใจ แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งก็น่าเซอร์ไพรส์เหมือนกัน หากเทียบกับสถานภาพของสโมสร ลิเวอร์พูล ในปัจจุบัน
หากเป็นเมื่อก่อนเราเห็นสตาร์ดังอย่าง แฟร์นันโด ตอร์เรส, หลุยส์ ซัวเรส และ ฟิลิปเป้ คูตินโญ ประกาศต้องการย้ายทีมเพื่ออยากประสบความสำเร็จ อยากคว้าถ้วยแชมป์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่หลังจากที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ พาทีมประสบความสำเร็จในช่วง 4 ปีหลังมานี้ ทำให้การรั้งนักเตะคนสำคัญของทีมสามารถทำได้ง่ายกว่าเดิม
ไม่ว่าจะเป็น เวอร์จิล ฟาน ไดค์, ฟาบินโญ, อลิสซอน, เทรนท์ อาร์โนลด์ และ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน นี่คือนักเตะที่พร้อมฝากอนาคตเอาไว้กับสโมสรระยะยาวทั้งนั้น
แถมจำนวนแชมป์และชื่อเสียงยังทำให้ แอนฟิลด์ คือจุดหมายปลายทางของนักเตะหลาย ๆ คน ดูได้จากการที่ หลุยส์ ดิอาซ ปฏิเสธย้ายไปทีมอื่นเพื่อมาเป็นนักเตะ หงส์แดง หรือกรณีของ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ นั่นก็ใช่

ล่าสุด, กองกลางจอมเก๋าอย่าง เจมส์ มิลเนอร์ ก็เพิ่งจะจรดปากกาเซ็นสัญญาฉบับใหม่ต่ออีก 1 ปี แถมน้ายังใจดี ลดค่าเหนื่อยให้อีกด้วย หลังจากที่ปฏิเสธข้อเสนอจากหลายทีมในยุโรปและใน พรีเมียร์ลีก มาก่อนหน้านี้
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล ในยุคที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในยุโรปและอาจจะในโลกฟุตบอล
เมื่อย้อนมาดูกรณีของ มาเน บางจังหวะอาจทำให้นึกถึงคำพูดที่ คล็อปป์ เคยพยายามเตือน คูตินโญ เมื่อตอนที่เจ้าตัวยืนกรานว่าจะย้ายไปเล่นให้กับ บาร์เซโลนา เมื่อเดือนมกราคมปี 2018 ซึ่งถือเป็นข้อความสุดคลาสสิคที่ยังถูกพูดถึงกันจนวันนี้

“อยู่ที่นี่ต่อไปและพวกเขาจะสร้างรูปปั้นเพื่อเป็นเกียรติให้แก่นาย การย้ายไปที่อื่น ไม่ว่าจะเป็น บาร์เซโลนา, บาเยิร์น มิวนิค หรือ เรอัล มาดริด คุณจะกลายเป็นแค่นักเตะธรรมดาคนหนึ่ง แต่ถ้าอยู่ที่นี่คุณจะเป็นได้มากกว่านั้น” คล็อปป์ เคยกล่าวเอาไว้แบบนั้น
เข้าใจว่านายใหญ่ชาวเยอรมันไม่ได้อยากเสีย มาเน ไป เพราะเขาได้พิสูจน์อย่างชัดเจนว่ามีแผนสำหรับปีกวัย 30 ปีรายนี้อยู่แล้ว ซึ่งเราได้เห็นกันในช่วง 2-3 เดือนหลังที่เจ้าตัวรับบทบาทฟอลส์ไนน์ และกลับมายิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำอีกครั้ง
และหากจำกันได้กองหน้าชาวเซเนกัลเป็นนักเตะกลุ่มแรก ๆ ที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ดึงมาร่วมทีม และถือเป็นแข้งคนสำคัญในช่วงของการสร้าง ลิเวอร์พูล ในสไตล์ “เกเก้นเพรสซิง” ของเขาด้วย
แน่นอนว่าลึก ๆ ผู้จัดการทีมวัย 55 ปียังอยากจะเก็บ มาเน เอาไว้ต่อไป แต่เขาก็รู้ดีว่านี่อาจจะถึงเวลาของนักเตะแล้วก็ได้
เคสของ ซาดิโอ มาเน จึงต่างจากสตาร์ในอดีตเพราะเขาประสบความสำเร็จทุกอย่าง ทั้ง พรีเมียร์ลีก, แชมเปี้ยนส์ลีก, เอฟเอคัพ, คาราบาวคัพ, ซูเปอร์คัพ และ สโมสรโลก แถมในระดับทีมชาติยังได้แชมป์ แอฟริกา คัพ ออฟ เนชันส์ พร้อมกับพาทีมเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกได้สำเร็จ ดังนั้นในชีวิตของนักเตะวัย 30 ปีคงไม่มีอะไรให้ท้าทายอีกแล้ว นอกจากเรื่องของค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ

คล็อปป์ เข้าใจดีถึงเรื่องนี้ เข้าใจถึงวิถีของความเป็นมืออาชีพ และเข้าใจถึงนโยบายของสโมสร แม้เจ้าตัวจะมีอาการเสียดายอยู่บ้างแต่ทุกอย่างก็ต้องมูฟออน
นี่คือเรื่องธรรมดาของนักฟุตบอลอาชีพ และเป็นเส้นทางที่ มาเน ได้เลือกแล้ว ต่อจากนี้เราก็คงได้แต่อวยพรให้เขาโชคดีกับทีมใหม่…แค่นั้นเอง