ข่าวการประกาศหาผู้ร่วมลงทุนรายใหม่ของ FSG กลายเป็นที่โด่งดังในชั่วข้ามคืนจนกลบกระแสการจับสลากโคจรกลับมาพบกับ เรอัล มาดริด ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายในศึก ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก เสียมิดชิด ซึ่งจริง ๆ ข่าวนี้น่าจะเป็นข่าวใหญ่ในรอบสัปดาห์มากกว่า
แถลงการณ์ของทางกลุ่มทุนผู้เป็นเจ้าของทีม ลิเวอร์พูล นั้น มีใจความสำคัญอยู่ที่การพร้อมเปิดโอกาสรับผู้ร่วมลงทุนรายใหม่ รวมทั้งการนำไปสู่การเปลี่ยนมือในการบริหารสโมสร หลังจากที่พวกเขาเข้ามาเทคโอเวอร์ทีมเมื่อปี 2010
การออกมาประกาศพร้อมเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เป็นเจ้าของทีมเช่นนี้ ทำให้เรามองได้หลายแง่มุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนิตยสาร ฟอร์บส์ ได้เปิดเผยมูลค่าของสโมสรเอาไว้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนว่าในปี 2022 นี้ ‘เร้ด แมชชีน’ กลายเป็นทีมที่มีมูลค่าสูงถึง 3.6 พันล้านปอนด์ หรือถ้าคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1.67 แสนล้านบาท ติดท็อปไฟว์ของวงการฟุตบอลไปเรียบร้อย
นั่นหมายความว่า FSG สามารถยกระดับทีมจากการเทคโอเวอร์เมื่อปี 2010 ที่มีมูลค่า 300 ล้านปอนด์ให้มีมูลค่าสูงถึง 10 เท่าและน่าจะสูงขึ้นไปอีก หากมีการประเมินกันอย่างจริงจังก่อนการซื้อขาย ซึ่งมีข่าวว่าพวกเขาตั้งราคาเอาไว้ที่ 4 พันล้านปอนด์และเมื่อปล่อยขายได้สำเร็จก็จะทำกำไรได้อย่างมหาศาลขึ้นไปอีก
ในมุมธุรกิจถือเป็นเรื่องที่ประสบความสำเร็จ แต่หากมองในมุมของฟุตบอลล้วน ๆ นี่อาจเป็นการส่งสัญญาณว่า ลิเวอร์พูล ในเวลานี้อาจจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว
ลองนึกดูว่าตลอดช่วงเวลา 12 ปีที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของ FSG, หงส์แดง ค่อย ๆ เติบโตอย่างเป็นสเต็ป ไม่โลดโผน มีแผนงานชัดเจน ไล่ไปตั้งแต่การเน้นที่ความสำเร็จด้านฟุตบอลเป็นอันดับแรก หลังจากที่ล้มเหลวกับ รอย ฮ็อดจ์สัน และ เบรนแดน ร็อดเจอร์ พวกเขาก็ดึงเอา เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาทำทีมและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนท้ายที่สุดคือการได้แชมป์ระดับเมเจอร์ที่รอคอยอย่าง ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก และ พรีเมียร์ลีก
ในขณะที่งานบริหารนอกสนามก็ทำกันไปทีละขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการหาสปอนเซอร์เข้ามาสนับสนุนทีม การเปลี่ยนมาใช้แบรนด์ไนกี้พร้อมกับส่วนแบ่งการตลาดที่ยอดเยี่ยม การขยายสนาม แอนฟิลด์ และการสร้างศูนย์ฝึกซ้อมแห่งใหม่ที่ลงทุนไปกว่า 50 ล้านปอนด์
มองดูภาพรวม นี่คือสิ่งที่ FSG ทำได้ดีมาโดยตลอด พวกเขานำทั้งเงินและความสำเร็จมาให้แก่แฟนบอล ลิเวอร์พูล หากแต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องของนโยบายด้านการเงินโดยเฉพาะการซื้อขายในตลาดนักเตะ ทำให้ทัพ หงส์แดง ทะยานไปไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็นเสียที ซึ่งเราอาจจะเรียกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ว่าเป็น “จุดอิ่มตัว” แล้วก็ได้
สอดคล้องกับที่ เอียน ดอยล์ สื่อชื่อดังที่เกาะติดวงในของ ลิเวอร์พูล มาตลอดได้วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจว่า ปัจจัยเรื่องนโยบายการลงทุนในตลาดซื้อขายเป็นสิ่งที่ทำให้ จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี มองว่า มันถึงเวลาแล้วที่พวกเขาต้องหาใครซักคนเข้ามาช่วยยกระดับสถานะการเงินของทีม
ในคราวแรกที่ FSG เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรนั้น มหาเศรษฐีชาวอเมริกันมองว่าการมีกฎ ไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์ จะช่วยให้ เดอะ เร้ดส์ กลับมาสู้กับบรรดายักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ได้อย่างสูสี เพราะนโยบายการซื้อขายนักเตะของพวกเขาอิงกับกฎนี้เป็นหลัก พร้อมกับการนำกลวิธีที่เรียกว่า Money Ball มาใช้ ส่งผลให้ทีมพัฒนาขึ้นบนรากฐานการเงินที่แข็งแกร่งและยั่งยืนได้ เหมือนที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วกับการปั้น บอสตัน เรด ซอกซ์ ใน เมเจอร์ลีก เบสบอล หรือ MLB
การใช้นโยบายดังกล่าวในช่วง 4-5 ปีแรกอาจจะยังล้มลุกคลุกคลานกันอยู่บ้าง แต่พอพวกเขาไปดึง เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาทำทีมทุกอย่างจึงลงตัวและความสำเร็จก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายดังที่ตั้งเป้าเอาไว้
วิธีการนี้แม้จะทำให้ ลิเวอร์พูล กลับมายิ่งใหญ่บนโลกลูกหนังได้อีกครั้งก็จริง แต่วงการฟุตบอลเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมีกลุ่มมหาเศรษฐีจากตะวันออกกลางที่เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรต่าง ๆ ในยุโรป โดยเฉพาะเคสของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งนโยบายของพวกเขาไม่ซับซ้อนเพราะขอแค่มีเงินก็สามารถเนรมิตทุกอย่างได้แบบทันใจ
พลังเงินของทีม เรือใบสีฟ้า ค่อย ๆ สร้างช่องว่างมหาศาลให้กับฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ไม่เว้นแม้แต่ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ จริงอยู่ที่ในช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ ทั้ง 2 ทีมจะขับเคี่ยวแย่งแชมป์กันอย่างสูสี แต่สุดท้ายก็เป็นทัพของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่กวาดแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ 4 จาก 5 ปีหลังสุด
แม้ ลิเวอร์พูล จะถูกยกย่องว่าเป็นทีมที่ใช้เงินได้อย่างชาญฉลาดและคุ้มค่าที่สุดทีมหนึ่ง เพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องกว้านซื้อนักเตะเกรดเอ แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องได้ ซึ่งเป็นโมเดลที่เจ้าของทีมทั้งหลายต้องการ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งแนวทางนี้มันก็ถึงทางตันได้เหมือนกัน
ในขณะที่ ซิตี้ สามารถดึงผู้เล่นระดับท็อปมาร่วมทีมได้แทบทุกฤดูกาล แต่ คล็อปป์ กลับต้องคิดแล้วคิดอีกกว่าจะซื้อใครซักคนเข้ามาเพื่อให้คุ้มค่าเงินมากที่สุด ไหนจะต้องวางแผนในการปล่อยผู้เล่นที่ไม่ใช้งานออกไปเพื่อทำกำไรอีก แรก ๆ อาจจะได้ผล แต่เมื่อมาถึงฤดูกาลนี้ทุกอย่างมันเฉลยออกมาแล้วว่ามันยังไม่ดีพอที่จะยืนระยะแลกหมัดกับคู่แข่งได้
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการก่อตั้ง ซูเปอร์ลีก ซึ่ง ลิเวอร์พูล ถือเป็นหนึ่งในตัวตั้งตัวตีกับขาใหญ่อย่าง เรอัล มาดริด และ ยูเวนตุส โดยมีโปรเจ็คที่จะนำ 12 ทีมชั้นนำของยุโรปเข้าร่วมการแข่งขันและแบ่งปันผลประโยชน์กันซึ่งคาดว่าจะทำเงินได้อย่างมหาศาล
เฮนรี หวังเอาไว้ว่า อย่างน้อย ๆ พวกเขาจะได้เงินเข้าคลังอย่างน้อยปีละ 300 ล้านปอนด์เพื่อการต่อสู้ทั้งในและนอกสนาม แต่สุดท้ายก็โดนต่อต้านจากแฟนบอลและโครงการก็ล่มไม่เป็นท่า จนเจ้าตัวต้องออกมาขอโทษในภายหลัง แผนสร้างรายได้ที่วางเอาไว้จึงมลายหายไปในพริบตา
และฟางเส้นสุดท้ายคือการเข้ามาเทคโอเวอร์ เชลซี ของ ท็อดด์ โบห์ลี มหาเศรษฐีชาวอเมริกันอีกรายที่ทุ่มเงินกว่า 4.25 พันล้านปอนด์ ซึ่ง ทำให้นายใหญ่ FSG มองว่าหาก ลิเวอร์พูล ต้องการยืนแลกหมัดกับบิ๊กทีมเหล่านี้ได้อย่างสูสี พวกเขาต้องมีการระดมทุนเพิ่ม หรือถ้าจะให้ดี…การขายให้กับคนที่พร้อมจะเข้ามาซื้อในราคาที่ตั้งเอาไว้น่าจะเป็นทางออกที่ดีกับทุกฝ่าย
คำถามต่อมาก็คือถ้ามีนายทุนใหม่มาซื้อ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จจริงอย่างที่แฟนบอลหวังเอาไว้ อนาคตต่อจากนี้ของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?
เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับว่า “ใคร” จะมาเป็นเจ้าของใหม่ เพราะตามข่าวที่ออกมามีทั้งกลุ่มทุนจากสหรัฐ อาหรับ เอมิเรตส์ อย่าง ดูไบ อินเตอร์ เนชั่นแนล แคปิตอล หรือ ดีไอซี ที่เคยมีข่าวกันมาก่อนหน้านี้และพร้อมจะยื่นเงินจำนวน 4.3 พันล้านปอนด์ให้พิจารณา หรือจะเป็น คอร์เนอร์ แม็คเกรเกอร์ แชมป์โลก UFC ที่มีข่าวว่ากำลังให้ความสนใจ และอีกรายเป็นกลุ่มทุนจากอเมริกาคนบ้านเดียวกับ จอห์น เฮนรี อย่างตระกูลริคเก็ตต์ส เจ้าของชิคาโก คับส์ ทีมดังในศึกเมเจอร์ลีก เบสบอล
แต่ก็เชื่อเหลือเกินว่าแฟนบอลส่วนใหญ่อยากได้ “ท่านชีค” จากบ่อน้ำมันเข้ามาซื้อทีมมากที่สุด นั่นเป็นเพราะผลงานของกลุ่มทุนจากตะวันออกกลางที่สร้าง แมนฯ ซิตี้, เปแอสเช รวมทั้งกำลังปลุกปั้น นิวคาสเซิล นั้น มันช่างจ้าเสียเหลือเกิน
ทีมอย่าง ลิเวอร์พูล มีทุกอย่างพร้อม ทั้งแฟนบอล ประวัติศาสตร์ และความสำเร็จ นี่คือทุนที่สโมสรสั่งสมมานานและเป็นมูลค่าที่สามารถนำมาต่อยอดและสร้างกำไรได้อย่างมหาศาล เหมือนที่ จอห์น เฮนรี ทำมาแล้ว ถ้าได้เม็ดเงินจากกลุ่มทุนตะวันออกกลางเข้ามาเสริมอีกทาง ภายใต้การทำทีมจากมันสมองของ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะทำให้พวกเขากลายเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับ แมนฯ ซิตี้ อย่างที่สุด
อย่างไรก็ตาม นั่นคือการมองในแง่ดี แต่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าหากดีลการขายสโมสรยังไม่เกิดขึ้นมันอาจส่งผลต่อการเดินเข้าสู่ตลาดซื้อขายเดือนมกราคมของ ลิเวอร์พูล ก็เป็นได้ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในช่วงที่กำลังย่ำแย่และต้องการการเสริมทัพอย่างหนักเพื่อที่จะกลับมามีลุ้นทำอันดับไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปีหน้า
การเจรจาการซื้อขายสโมสรนั้นไม่ใช่แค่เรื่องการจ่ายเงินแล้วจบเหมือนการซื้อผู้เล่นใหม่ เพราะมีรายละเอียดมากมายที่ต้องพิจารณารวมทั้งข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่ต้องตรวจสอบเพราะมูลค่าครั้งนี้ไม่ใช่น้อย ๆ ดังนั้นโอกาสที่จะปิดดีลได้ก่อนปีใหม่คงเป็นเรื่องยาก ซึ่งเมื่อเข้าสู่ตลาดซื้อจริง ๆ อาจจะมีหรือไม่มีการลงทุนเพิ่มเติมเลยก็เป็นได้ นอกเสียจากว่าทาง FSG จะมีการคุยกับผู้ซื้อมาก่อนหน้านี้แล้วสามารถปิดดีลได้ทันเวลาก่อนตลาดเปิดทำการ
นับจากนี้ไป เราคงต้องจับตาดูข่าวประเด็นนี้กันอย่างใกล้ชิด เพราะนี่จะถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญและเป็นทิศทางในอนาคตของ ลิเวอร์พูล ต่อไป…