![Liverpool, Jurgen Klopp, Gegenpressing, Premier League, UEFA Champions League, FA Cup, League Cup, ลิเวอร์พูล, หงส์แดง, เยอร์เก้น คล็อปป์, พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ](https://redzonelfc.com/wp-content/uploads/2022/08/แพทเทิร์นเว็บ2-copy.webp)
สถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ในเวลานี้อาจจะเรียกได้ว่าเกือบเข้าใกล้วิกฤติเข้าไปทุกที หลังจากที่ออกสตาร์ท 3 เกมแรกด้วยการที่ยังไม่สามารถเก็บชัยชนะได้เลย โดยเสมอ 2 นัดกับทีมที่เป็นรองอย่าง ฟูแลม และ คริสตัล พาเลซ และบุกไปพ่ายในศึกแดงเดือดชนิดที่ “สู้ไม่ได้” ต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังต้องเจอกับปัญหาใหญ่นั่นคือตัวผู้เล่นได้รับบาดเจ็บแทบจะครึ่งทีม ตัวหลัก ๆ อย่าง อิบราฮิมา โคนาเต้, โจเอล มาติป, นาบี เกอิต้า และ ติอาโก้ อัลคันทารา ไม่สามารถลงสนามช่วยทีมได้ไม่เท่าไหร่ ตัวสำรองที่เคยถูกใช้งานทดแทนได้ก็หายหน้าหายตาไปด้วย นั่นจึงทำให้ตอนนี้นายใหญ่ชาวเยอรมันมีผู้เล่นให้ใช้งานได้จริง ๆ ไม่ถึง 15 คนด้วยซ้ำ
ปัญหาเรื่องผู้เล่นได้รับบาดเจ็บก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อีกหนึ่งปัญหาที่กำลังถูกพูดถึงอย่างมากในเวลานี้ก็คือ ฟอร์มการเล่นที่ไม่เหมือนเดิม
รู้กันดีว่า ลิเวอร์พูล นั้นคือทีมที่นำ “เกเก้นเพรสซิง” มาใช้และพวกเขาประสบความสำเร็จจากแนวคิดนี้มาช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาแถมยังถูกยกย่องให้เป้น 1 ในทีมที่ดีที่สุดในโลกลูกหนังและเป็น “ฟุตบอลโมเดล” ที่ถูกยกขึ้นมาพูดถึงอยู่เสมอตามหน้าสื่อต่าง ๆ
ยิ่งเมื่อฤดูกาลที่แล้วที่ คล็อปป์ พาทีมอาจหาญลุ้นถึง 4 แชมป์ไปพร้อม ๆ กัน แม้ว่าท้ายที่สุดจะทำได้เพียง 2 แชมป์บอลถ้วยอย่าง คาราบาวคัพ และ เอฟเอคัพ แต่ฟุตบอลของเขายังได้รับการยอมรับอยู่เสมอ
![Liverpool, Jurgen Klopp, Gegenpressing, Premier League, UEFA Champions League, FA Cup, League Cup, ลิเวอร์พูล, หงส์แดง, เยอร์เก้น คล็อปป์, พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ](https://redzonelfc.com/wp-content/uploads/2022/08/ลิเวอร์พูลลุ้น-4-แชมป์.webp)
แต่มาในซีซันนี้ ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ทีมที่เคยน่าเกรงขาม เล่นได้อย่างดุดัน พร้อมที่จะทำประตูในทุกจังหวะด้วยแผงเกมรุกที่สุดอันตราย และมีเกมรับที่เหนียวแน่นเสียประตูยาก กลายเป็นว่า 3 นัดแรกของฤดูกาลพวกเขาโดนเจาะประตูก่อนและไม่สามารถพลิกกลับมาเอาชนะได้เลยแม้แต่นัดเดียว
อะไรคือเหตุปัจจัยที่ทำให้ “เกเก้นเพรสซิง” หรือฟุตบอลในแบบของ ลิเวอร์พูล ภายใต้ปรัชญาของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เสื่อมถอยลงได้รวดเร็วขนาดนี้
มีคนตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุสำคัญที่ผลการแข่งขันออกมาไม่น่าอภิรมย์ซักเท่าไหร่นั้น เป็นเพราะนักเตะตัวหลักส่วนใหญ่ยังมีอาการล้ามาจากฤดูกาลที่แล้วที่พวกเขาทำผลงานกันได้อย่างสุดยอด เพราะด้านดีของการลุ้น 4 แชมป์คือคุณมีสิทธิ์ที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จต่าง ๆ มากมาย แต่อีกด้านหนึ่งที่คนไม่ค่อยพูดถึงก็คือ การลงเล่นหลายรายการแบบนี้มันย่อมส่งผลเสียต่อสภาพร่างกายของนักเตะได้
เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ผู้เล่นตัวหลักของ ลิเวอร์พูล ต้องลงเล่นเฉลี่ยคนละ 40 เกม แถมด้วยระบบการเล่นแบบเพรสซิงในสไตล์ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่ใช้พลังงานสูง การจะยืนระยะได้ยาว ๆ คือคุณต้องฟิตจริง ๆ และพร้อมจริง ๆ เท่านั้นฟุตบอลแบบนี้จึงจะมีประสิทธิภาพ
![Liverpool, Jurgen Klopp, Gegenpressing, Premier League, UEFA Champions League, FA Cup, League Cup, ลิเวอร์พูล, หงส์แดง, เยอร์เก้น คล็อปป์, พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ](https://redzonelfc.com/wp-content/uploads/2022/08/นักเตะลิเวอร์พูลกำลังฝึกซ้อม-copy.webp)
นอกจากนั้น หลังจบฤดูกาลนักเตะบางส่วนยังต้องไปเล่นให้ทีมชาติอย่างต่อเนื่อง กว่าจะได้พักก็ปาเข้าไปกลางเดือนมิถุนายน ในขณะที่เกมพรี-ซีซันนัดแรกเริ่มเตะกันกลางเดือนกรกฎาคม ดังนั้นพวกเขาจึงมีเวลาพักเพียง 1 เดือนหรือเอาเข้าจริงอาจจะไม่ถึงด้วยซ้ำ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความล้ามันจึงยังมีอยู่ ผลงานเกมอุ่นเครื่องวัดอะไรได้ไม่มากเพราะแต่ละคนก็ได้ลงสนามกันไม่ถึง 90 นาที และเกมในฤดูกาลจริงนั้นมันต่างกับเกมอุ่นเครื่องมาก ดังนั้น เมื่อต้องเค้นเอาพลังงานที่มีอยู่ออกมา มันจึงไม่ถึงขีดที่ต้องการ
ประการต่อมา เมื่อตัวหลักเกิดอาการล้ามันก็ส่งผลต่อฟอร์มการเล่นอย่างช่วยไม่ได้ คนที่เป็นตัวอย่างเรื่องนี้ได้อย่างดีคือ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่โดนวิจารณ์อย่างหนักในเกมแดงเดือดที่ผ่านมา โดยเฉพาะในจังหวะที่เจ้าตัวไม่ยอมเข้าไปบล็อคลูกยิงของ เจดอน ซานโช ทำให้ถูกขึ้นนำ 1-0
เริ่มต้นซีซันนี้ “พี่ยักษ์” ยังทำผลงานได้ไม่ถึงมาตรฐานของตัวเอง เกมกับ ฟูแลม ก็ไปทำให้ทีมเสียลูกโทษ ซึ่งถ้าเป็นช่วงพีคเจ้าตัวจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น หรือในนัดกับ คริสตัล พาเลซ ก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง
![Liverpool, Jurgen Klopp, Gegenpressing, Premier League, UEFA Champions League, FA Cup, League Cup, ลิเวอร์พูล, หงส์แดง, เยอร์เก้น คล็อปป์, พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ](https://redzonelfc.com/wp-content/uploads/2022/08/ฟาน-ไดจ์ค-1.webp)
อีกหนึ่งคนที่ชัดเจนคือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งยังคงไม่ฟิตเต็มร้อย พร้อมด้วยอายุที่มากขึ้น การฟื้นตัวก็ต้องใช้เวลานานขึ้น แถมเจ้าตัวยังเป็นตัวหลักของ คล็อปป์ มาตลอด การที่เล่นได้ไม่เต็มที่จึงส่งผลต่อฟอร์มโดยรวมของทีมไปด้วย
อีกเรื่องหนึ่งที่ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงกันมาก นั่นคือการขาดหายไปของ ซาดิโอ มาเน ที่ย้ายไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์เมื่อซัมเมอร์
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสำเร็จของ ลิเวอร์พูล ในช่วงที่ผ่านมา มาเน มีส่วนร่วมด้วยอย่างมาก เขาคือนักเตะที่สามารถพลิกเกมได้ มักทำประตูสำคัญ ๆ ให้กับทีม และเป็นหนึ่งใน 3 แผงหน้าสุดอันตรายภายใต้รหัส SMF ซึ่งสร้างชื่อในโลกลูกหนังมาหลายปี แถมยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในปัจจุบันอีกด้วย
หลายคนอาจมองว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ต่างหากที่เป็นคนยิงประตูมากมายให้กับ ลิเวอร์พูล แต่ก็อย่าลืมว่า มาเน ก็เป็นคนยิงประตูได้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของทีมเกือบทุกปี หลายเกมที่แข้งอียิปต์โชว์ฟอร์มไม่ออก ก็มีดาวยิงเซเนกัลนี่แหละที่ช่วยทีมเอาไว้ได้
![มาเน่-ซาลาห์-ฟีร์มิโน่-](https://redzonelfc.com/wp-content/uploads/2022/08/มาเน่-ซาลาห์-ฟีร์มิโน่-.webp)
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกองหน้าริมเส้นวัย 30 ปีเป็นคนที่เข้าใจระบบของ คล็อปป์ เป็นอย่างดีคนหนึ่ง เขาวิ่งเพรสทั่วสนาม เล่นเกมโต้กลับได้แบบสุดอันตราย ช่วยเกมรับทุกจังหวะ แถมยังเล่นได้ทุกตำแหน่งในแดนหน้า นั่นคือคุณสมบัติชั้นยอดที่ “เกเก้นเพรสซิ่ง” ของ คล็อปป์ ต้องการ ดังนั้นการอำลาทีมของเขาจึงมีผลกระทบกับทีมอย่างหลีกเลี่ยงไม่เหมือนกัน
ประการสุดท้ายที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือ “เกเก้นเพรสซิ่ง” ของ คล็อปป์ ถูกจับทางได้หมดแล้ว!
เรื่องนี้ถูกพูดกันมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว ตอนที่ ลิเวอร์พูล ต้องดิ้นรนเพื่อคว้าโควต้า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่เมื่อผลงานดีในฤดูกาลต่อมาก็ไม่มีเอ่ยถึงอีก แม้จะมีเกมที่สะดุดอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็กลับมาได้เสมอ จนกระทั่งในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ที่พ่ายให้กับ เรอัล มาดริด 1-0 เมื่อเดือนพฤษภาคม
หลังจบเกมดังกล่าว เริ่มมีคนวิเคราะห์ถึงระบบและรูปแบบการเล่นที่ไม่มีอะไรซับซ้อนนี้พร้อมทั้งวิธีที่จะเอาชนะ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ คาร์โล อันเชล็อตติ นายใหญ่ของ ราชันชุดขาว ที่ออกมาให้สัมภาษณ์หลังคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 14 ได้ว่า เขารู้ว่าต้องรับมือกับ ลิเวอร์พูล อย่างไร และเขาก็ทำได้สำเร็จ
ประเด็นนี้ถูกหยิบขึ้นมาตอกย้ำอีกครั้งโดย อลิสซอน เบ็คเกอร์ นายทวารมือหนึ่งของ หงส์แดง เองที่ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมแดงเดือดว่า ทุกทีมรู้ว่าพวกเขาเล่นแบบไหน มีจุดอ่อนอะไร และใช้ประโยชน์จากจุดนั้นเพื่อพลิกสถานการณ์เอาชนะพวกเขา
3 นัดที่ผ่านมาทุกทีมที่เจอ ลิเวอร์พูล เล่นคล้าย ๆ กันคือ ปิดทางวิ่งและประกบติดปีกทั้ง 2 ข้างอย่าง หลุยส์ ดิอาซ และ โม ซาลาห์ จากนั้นก็เพรสแดนกลางหนัก ๆ เข้าบอลเร็ว อย่าให้มีเวลาตั้งตัว พร้อมทั้งใช้แผงเกมรุกกดดันคู่เซ็นเตอร์ด้วยการวางบอลครอสตัดหลังไปริมเส้นเพื่อหนีการเช็คล้ำหน้า โดยทิ้งผู้เล่นที่มีความเร็วไว้วัดกับกองหลัง รวมทั้งการบอมบ์เข้าไปทางฟูลแบ็คเพราะตรงนั้นมีที่ว่างเยอะเนื่องจากทั้ง เทรนท์ และ โรเบิร์ตสัน ต้องขึ้นไปช่วยเติมเกมรุก
ผลที่ออกมาจึงไม่แตกต่างกัน ฟูแลม ได้ประตูจากโลกโยนข้ามหัวเซ็นเตอร์ไปทางฝั่งของ เทรนท์ อาร์โนลด์ ส่วน คริสตัล พาเลซ ตัดบอลจากแดนกลางแล้ววางยาวให้ วิลฟรีด ซาฮา ควบเข้าไปยิงประตู และ มาร์คัส แรชฟอร์ด หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปยิงขึ้นนำในเกมล่าสุดที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด
![Liverpool, Jurgen Klopp, Gegenpressing, Premier League, UEFA Champions League, FA Cup, League Cup, ลิเวอร์พูล, หงส์แดง, เยอร์เก้น คล็อปป์, พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ](https://redzonelfc.com/wp-content/uploads/2022/08/แมนยูไนเต็ด-ลิเวอร์พูล.webp)
นี่คือการวางกลยุทธ์ในการรับมือกับ ลิเวอร์พูล และเชื่อว่าเกมกับ บอร์นมัธ คืนนี้ก็คงไม่มีอะไรผิดไปจากนี้เหมือนกัน
ถามว่าวิธีการที่จะทำให้ เกเก้นเพรสซิ่ง กลับมาทรงประสิทธิภาพคืออะไร คงไม่ใช่การเปลี่ยนแผนการเล่นอย่างแน่นอนเพราะยังไง คล็อปป์ ก็ให้ทีมเล่นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องทำคือ ทำอย่างไรก็ได้นักเตะกลับมาฟิตเต็ม 100 และมีผู้เล่นที่พร้อมใช้งานครบมืออีกครั้ง
อาจจะเป็นโจทย์ยากในเวลานี้ แต่ก็อย่างที่ คล็อปป์ บอกว่า ของแบบนี้มันต้องรอเวลา ซึ่งเขาก็ยอมรับอีกว่าตนคิดผิดเหมือนกันที่ไม่ซื้อกองกลางเพิ่ม ซึ่งเราอาจจะได้เห็นข่าวดีก่อนปิดตลาดก็เป็นได้
ดังนั้น ถ้าได้ผู้เล่นกลับมาแบบครบ ๆ และได้ตัวเสริมดี ๆ อีกซักคนก่อนวันที่ 1 กันยายนนี้ ถึงตอนนั้น “เกเก้นเพรสซิ่ง” ของ ลิเวอร์พูล ก็จะกลับมาน่าเกรงขามอีกครั้งอย่างแน่นอน