‘เกเก้นเพรสซิ่ง’ ของ ‘ลิเวอร์พูล’ หมดสิ้นมนต์ขลังแล้ว…จริงหรือ?

Liverpool, Jurgen Klopp, Gegenpressing, Premier League, UEFA Champions League, FA Cup, League Cup, ลิเวอร์พูล, หงส์แดง, เยอร์เก้น คล็อปป์, พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ

สถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ในเวลานี้อาจจะเรียกได้ว่าเกือบเข้าใกล้วิกฤติเข้าไปทุกที หลังจากที่ออกสตาร์ท 3 เกมแรกด้วยการที่ยังไม่สามารถเก็บชัยชนะได้เลย โดยเสมอ 2 นัดกับทีมที่เป็นรองอย่าง ฟูแลม และ คริสตัล พาเลซ และบุกไปพ่ายในศึกแดงเดือดชนิดที่ “สู้ไม่ได้” ต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังต้องเจอกับปัญหาใหญ่นั่นคือตัวผู้เล่นได้รับบาดเจ็บแทบจะครึ่งทีม ตัวหลัก ๆ อย่าง อิบราฮิมา โคนาเต้, โจเอล มาติป, นาบี เกอิต้า และ ติอาโก้ อัลคันทารา ไม่สามารถลงสนามช่วยทีมได้ไม่เท่าไหร่ ตัวสำรองที่เคยถูกใช้งานทดแทนได้ก็หายหน้าหายตาไปด้วย นั่นจึงทำให้ตอนนี้นายใหญ่ชาวเยอรมันมีผู้เล่นให้ใช้งานได้จริง ๆ ไม่ถึง 15 คนด้วยซ้ำ

ปัญหาเรื่องผู้เล่นได้รับบาดเจ็บก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อีกหนึ่งปัญหาที่กำลังถูกพูดถึงอย่างมากในเวลานี้ก็คือ ฟอร์มการเล่นที่ไม่เหมือนเดิม

รู้กันดีว่า ลิเวอร์พูล นั้นคือทีมที่นำ “เกเก้นเพรสซิง” มาใช้และพวกเขาประสบความสำเร็จจากแนวคิดนี้มาช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาแถมยังถูกยกย่องให้เป้น 1 ในทีมที่ดีที่สุดในโลกลูกหนังและเป็น “ฟุตบอลโมเดล” ที่ถูกยกขึ้นมาพูดถึงอยู่เสมอตามหน้าสื่อต่าง ๆ

ยิ่งเมื่อฤดูกาลที่แล้วที่ คล็อปป์ พาทีมอาจหาญลุ้นถึง 4 แชมป์ไปพร้อม ๆ กัน แม้ว่าท้ายที่สุดจะทำได้เพียง 2 แชมป์บอลถ้วยอย่าง คาราบาวคัพ และ เอฟเอคัพ แต่ฟุตบอลของเขายังได้รับการยอมรับอยู่เสมอ

Liverpool, Jurgen Klopp, Gegenpressing, Premier League, UEFA Champions League, FA Cup, League Cup, ลิเวอร์พูล, หงส์แดง, เยอร์เก้น คล็อปป์, พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ

แต่มาในซีซันนี้ ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ทีมที่เคยน่าเกรงขาม เล่นได้อย่างดุดัน พร้อมที่จะทำประตูในทุกจังหวะด้วยแผงเกมรุกที่สุดอันตราย และมีเกมรับที่เหนียวแน่นเสียประตูยาก กลายเป็นว่า 3 นัดแรกของฤดูกาลพวกเขาโดนเจาะประตูก่อนและไม่สามารถพลิกกลับมาเอาชนะได้เลยแม้แต่นัดเดียว

อะไรคือเหตุปัจจัยที่ทำให้ “เกเก้นเพรสซิง” หรือฟุตบอลในแบบของ ลิเวอร์พูล ภายใต้ปรัชญาของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เสื่อมถอยลงได้รวดเร็วขนาดนี้

มีคนตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุสำคัญที่ผลการแข่งขันออกมาไม่น่าอภิรมย์ซักเท่าไหร่นั้น เป็นเพราะนักเตะตัวหลักส่วนใหญ่ยังมีอาการล้ามาจากฤดูกาลที่แล้วที่พวกเขาทำผลงานกันได้อย่างสุดยอด เพราะด้านดีของการลุ้น 4 แชมป์คือคุณมีสิทธิ์ที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จต่าง ๆ มากมาย แต่อีกด้านหนึ่งที่คนไม่ค่อยพูดถึงก็คือ การลงเล่นหลายรายการแบบนี้มันย่อมส่งผลเสียต่อสภาพร่างกายของนักเตะได้

เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ผู้เล่นตัวหลักของ ลิเวอร์พูล ต้องลงเล่นเฉลี่ยคนละ 40 เกม แถมด้วยระบบการเล่นแบบเพรสซิงในสไตล์ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่ใช้พลังงานสูง การจะยืนระยะได้ยาว ๆ คือคุณต้องฟิตจริง ๆ และพร้อมจริง ๆ เท่านั้นฟุตบอลแบบนี้จึงจะมีประสิทธิภาพ

Liverpool, Jurgen Klopp, Gegenpressing, Premier League, UEFA Champions League, FA Cup, League Cup, ลิเวอร์พูล, หงส์แดง, เยอร์เก้น คล็อปป์, พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ

นอกจากนั้น หลังจบฤดูกาลนักเตะบางส่วนยังต้องไปเล่นให้ทีมชาติอย่างต่อเนื่อง กว่าจะได้พักก็ปาเข้าไปกลางเดือนมิถุนายน ในขณะที่เกมพรี-ซีซันนัดแรกเริ่มเตะกันกลางเดือนกรกฎาคม ดังนั้นพวกเขาจึงมีเวลาพักเพียง 1 เดือนหรือเอาเข้าจริงอาจจะไม่ถึงด้วยซ้ำ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ความล้ามันจึงยังมีอยู่ ผลงานเกมอุ่นเครื่องวัดอะไรได้ไม่มากเพราะแต่ละคนก็ได้ลงสนามกันไม่ถึง 90 นาที และเกมในฤดูกาลจริงนั้นมันต่างกับเกมอุ่นเครื่องมาก ดังนั้น เมื่อต้องเค้นเอาพลังงานที่มีอยู่ออกมา มันจึงไม่ถึงขีดที่ต้องการ

ประการต่อมา เมื่อตัวหลักเกิดอาการล้ามันก็ส่งผลต่อฟอร์มการเล่นอย่างช่วยไม่ได้ คนที่เป็นตัวอย่างเรื่องนี้ได้อย่างดีคือ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่โดนวิจารณ์อย่างหนักในเกมแดงเดือดที่ผ่านมา โดยเฉพาะในจังหวะที่เจ้าตัวไม่ยอมเข้าไปบล็อคลูกยิงของ เจดอน ซานโช ทำให้ถูกขึ้นนำ 1-0

เริ่มต้นซีซันนี้ “พี่ยักษ์” ยังทำผลงานได้ไม่ถึงมาตรฐานของตัวเอง เกมกับ ฟูแลม ก็ไปทำให้ทีมเสียลูกโทษ ซึ่งถ้าเป็นช่วงพีคเจ้าตัวจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น หรือในนัดกับ คริสตัล พาเลซ ก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง

Liverpool, Jurgen Klopp, Gegenpressing, Premier League, UEFA Champions League, FA Cup, League Cup, ลิเวอร์พูล, หงส์แดง, เยอร์เก้น คล็อปป์, พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ

อีกหนึ่งคนที่ชัดเจนคือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งยังคงไม่ฟิตเต็มร้อย พร้อมด้วยอายุที่มากขึ้น การฟื้นตัวก็ต้องใช้เวลานานขึ้น แถมเจ้าตัวยังเป็นตัวหลักของ คล็อปป์ มาตลอด การที่เล่นได้ไม่เต็มที่จึงส่งผลต่อฟอร์มโดยรวมของทีมไปด้วย

อีกเรื่องหนึ่งที่ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงกันมาก นั่นคือการขาดหายไปของ ซาดิโอ มาเน ที่ย้ายไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์เมื่อซัมเมอร์

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสำเร็จของ ลิเวอร์พูล ในช่วงที่ผ่านมา มาเน มีส่วนร่วมด้วยอย่างมาก เขาคือนักเตะที่สามารถพลิกเกมได้ มักทำประตูสำคัญ ๆ ให้กับทีม และเป็นหนึ่งใน 3 แผงหน้าสุดอันตรายภายใต้รหัส SMF ซึ่งสร้างชื่อในโลกลูกหนังมาหลายปี แถมยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในปัจจุบันอีกด้วย

หลายคนอาจมองว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ต่างหากที่เป็นคนยิงประตูมากมายให้กับ ลิเวอร์พูล แต่ก็อย่าลืมว่า มาเน ก็เป็นคนยิงประตูได้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของทีมเกือบทุกปี หลายเกมที่แข้งอียิปต์โชว์ฟอร์มไม่ออก ก็มีดาวยิงเซเนกัลนี่แหละที่ช่วยทีมเอาไว้ได้

มาเน่-ซาลาห์-ฟีร์มิโน่-

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกองหน้าริมเส้นวัย 30 ปีเป็นคนที่เข้าใจระบบของ คล็อปป์ เป็นอย่างดีคนหนึ่ง เขาวิ่งเพรสทั่วสนาม เล่นเกมโต้กลับได้แบบสุดอันตราย ช่วยเกมรับทุกจังหวะ แถมยังเล่นได้ทุกตำแหน่งในแดนหน้า นั่นคือคุณสมบัติชั้นยอดที่ “เกเก้นเพรสซิ่ง” ของ คล็อปป์ ต้องการ ดังนั้นการอำลาทีมของเขาจึงมีผลกระทบกับทีมอย่างหลีกเลี่ยงไม่เหมือนกัน

ประการสุดท้ายที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือ “เกเก้นเพรสซิ่ง” ของ คล็อปป์ ถูกจับทางได้หมดแล้ว!

เรื่องนี้ถูกพูดกันมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว ตอนที่ ลิเวอร์พูล ต้องดิ้นรนเพื่อคว้าโควต้า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่เมื่อผลงานดีในฤดูกาลต่อมาก็ไม่มีเอ่ยถึงอีก แม้จะมีเกมที่สะดุดอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็กลับมาได้เสมอ จนกระทั่งในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ที่พ่ายให้กับ เรอัล มาดริด 1-0 เมื่อเดือนพฤษภาคม

หลังจบเกมดังกล่าว เริ่มมีคนวิเคราะห์ถึงระบบและรูปแบบการเล่นที่ไม่มีอะไรซับซ้อนนี้พร้อมทั้งวิธีที่จะเอาชนะ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ คาร์โล อันเชล็อตติ นายใหญ่ของ ราชันชุดขาว ที่ออกมาให้สัมภาษณ์หลังคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 14 ได้ว่า เขารู้ว่าต้องรับมือกับ ลิเวอร์พูล อย่างไร และเขาก็ทำได้สำเร็จ

ประเด็นนี้ถูกหยิบขึ้นมาตอกย้ำอีกครั้งโดย อลิสซอน เบ็คเกอร์ นายทวารมือหนึ่งของ หงส์แดง เองที่ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมแดงเดือดว่า ทุกทีมรู้ว่าพวกเขาเล่นแบบไหน มีจุดอ่อนอะไร และใช้ประโยชน์จากจุดนั้นเพื่อพลิกสถานการณ์เอาชนะพวกเขา

3 นัดที่ผ่านมาทุกทีมที่เจอ ลิเวอร์พูล เล่นคล้าย ๆ กันคือ ปิดทางวิ่งและประกบติดปีกทั้ง 2 ข้างอย่าง หลุยส์ ดิอาซ และ โม ซาลาห์ จากนั้นก็เพรสแดนกลางหนัก ๆ เข้าบอลเร็ว อย่าให้มีเวลาตั้งตัว พร้อมทั้งใช้แผงเกมรุกกดดันคู่เซ็นเตอร์ด้วยการวางบอลครอสตัดหลังไปริมเส้นเพื่อหนีการเช็คล้ำหน้า โดยทิ้งผู้เล่นที่มีความเร็วไว้วัดกับกองหลัง รวมทั้งการบอมบ์เข้าไปทางฟูลแบ็คเพราะตรงนั้นมีที่ว่างเยอะเนื่องจากทั้ง เทรนท์ และ โรเบิร์ตสัน ต้องขึ้นไปช่วยเติมเกมรุก

ผลที่ออกมาจึงไม่แตกต่างกัน ฟูแลม ได้ประตูจากโลกโยนข้ามหัวเซ็นเตอร์ไปทางฝั่งของ เทรนท์ อาร์โนลด์ ส่วน คริสตัล พาเลซ ตัดบอลจากแดนกลางแล้ววางยาวให้ วิลฟรีด ซาฮา ควบเข้าไปยิงประตู และ มาร์คัส แรชฟอร์ด หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปยิงขึ้นนำในเกมล่าสุดที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด

Liverpool, Jurgen Klopp, Gegenpressing, Premier League, UEFA Champions League, FA Cup, League Cup, ลิเวอร์พูล, หงส์แดง, เยอร์เก้น คล็อปป์, พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ

นี่คือการวางกลยุทธ์ในการรับมือกับ ลิเวอร์พูล และเชื่อว่าเกมกับ บอร์นมัธ คืนนี้ก็คงไม่มีอะไรผิดไปจากนี้เหมือนกัน

ถามว่าวิธีการที่จะทำให้ เกเก้นเพรสซิ่ง กลับมาทรงประสิทธิภาพคืออะไร คงไม่ใช่การเปลี่ยนแผนการเล่นอย่างแน่นอนเพราะยังไง คล็อปป์ ก็ให้ทีมเล่นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องทำคือ ทำอย่างไรก็ได้นักเตะกลับมาฟิตเต็ม 100 และมีผู้เล่นที่พร้อมใช้งานครบมืออีกครั้ง

อาจจะเป็นโจทย์ยากในเวลานี้ แต่ก็อย่างที่ คล็อปป์ บอกว่า ของแบบนี้มันต้องรอเวลา ซึ่งเขาก็ยอมรับอีกว่าตนคิดผิดเหมือนกันที่ไม่ซื้อกองกลางเพิ่ม ซึ่งเราอาจจะได้เห็นข่าวดีก่อนปิดตลาดก็เป็นได้

ดังนั้น ถ้าได้ผู้เล่นกลับมาแบบครบ ๆ และได้ตัวเสริมดี ๆ อีกซักคนก่อนวันที่ 1 กันยายนนี้ ถึงตอนนั้น “เกเก้นเพรสซิ่ง” ของ ลิเวอร์พูล ก็จะกลับมาน่าเกรงขามอีกครั้งอย่างแน่นอน

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top