นอกจากอิทธิฤทธิ์ของแนวรุกที่จัดจ้านที่สุดยุโรปแล้ว คนที่มีส่วนสำคัญในการต่อจิ๊กซอว์ของ “หงส์แดง” ก็ไม่มีใครเจ๋งไปกว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่ทำให้ ลิเวอร์พูล เป็นเพียงสโมสรเดียวในยุโรปที่มีโอกาสคว้าแชมป์ 4 รายการในฤดูกาลนี้
และข่าวดีของ “เดอะค็อป” ก็คือกุนซือชาวเยอรมนีที่จะหมดสัญญาคุมทีมในปี 2024 ได้เซ็นสัญญาคุมทีมต่อไปอีกสองปี
ในขณะที่ผู้ช่วยของเขาคือ เป็ป ไลน์เดอร์ส และ ปีเตอร์ คราเวียตซ์ รวมไปถึงทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ช ต่างก็ได้สัญญาฉบับใหม่จากสโมสรลิเวอร์พูลอย่างถ้วนหน้า ยิ่งทำให้บรรดา เดอะ ค็อป มั่นใจได้ว่า “หงส์แดง” จะบินสูงไปอีกนาน
ความสำเร็จของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ใช่เกิดเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นเพราะการทำงานหนัก และการสั่งสมบารมีมาอย่างยาวนาน
เขามีชื่อเต็มๆ ว่า เยอร์เก้น นอร์เบิร์ต คล็อปป์ เกิดเมื่อ 16 มิถุนายน 1967 ใน สตุ๊ทการ์ท โดยคนที่มีบทบาทในชีวิตของเขาก็คือ นอร์เบิร์ต พ่อของเขา ซึ่งเคยเป็นนักกีฬามาก่อนและเป็นคนฝึกฝนและปลุกปั้นให้ลูกชายหันมาเอาดีทางกีฬาเช่นเดียวกัน เมื่อตอนเป็นเด็กเขาไม่ได้เล่นกีฬาฟุตบอลเพียงอย่างเดียว ในช่วงฤดูหนาวเขาจะเล่นสกี พอถึงฤดูร้อนก็ไปตีเทนนิส แต่ช่วงเวลาส่วนมากก็คือการเล่นฟุตบอล
คล็อปป์ เคยเล่นให้กับ ‘TuS Ergenzingen’ ตอนเป็นนักเตะเยาวชน และในช่วงวัยรุ่นเล่นให้ 3 สโมสรใน Frankfurt คือ ‘Eintracht Frankfurt II,’ the ‘Viktoria Sindlingen,’ และ the ‘Rot-Weiss Frankfurt.’
แต่ “ฟุตบอล” ไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวในชีวิต ในปี 1995 เขาจบปริญญาโทจาก Frankfurt University ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา
เส้นทางการเป็นนักฟุตของเขาคือการเซ็นสัญญากับทีม ไมนซ์ 05 โดยเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพเมื่อปี 1990 โดยในช่วงแรกเขาเล่นในตำแหน่งกองหน้า แต่อีก 5 ปีต่อมาเปลี่ยนไปเล่นในตำแหน่งกองหลัง และมีสถิติยิง 52 ประตู
แต่ในที่สุด คล็อปป์ ได้ตัดสินใจเลิกเป็นนักฟุตบอลอาชีพในปี 2001 เพราะอยากหันไปเอาดีกับการเป็นโค้ชมากกว่า และเคยให้สัมภาษณ์ว่า ความสามารถในการเล่นฟุตบอลของเขานั้นมีอยู่จำกัด หากแต่พูดถึงความเข้าใจในเกม การใฝ่รู้เรื่องของเกมลูกหนังนั้น เขากลับรู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีกว่า
และเมื่อเขาเลิกเดินในเส้นทางของนักฟุตบอลอาชีพ ก็ได้หันไปเลือกเส้นทางโค้ช โดยทีมที่เขาโค้ชให้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน…ไมนซ์ 05 นั่นเอง
ในนัดแรกของการเป็นโค้ช, เขาพาทีม ไมนซ์ 05 เอาชนะ เอ็มเอสเฟา ดุ๊ยส์บวร์ก ได้สำเร็จ และกลายเป็นว่าเขาได้ถูกจับตาว่าเป็นโค้ชดาวรุ่งของวงการลูกหนังเยอรมันนับแต่นั้น
คล็อปป์ ทำงานให้กับ ไมนซ์ 05 อย่างยาวนานถึง 7 ปี ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด เพราะใช้เวลาเพียง 3 ปี ก็ช่วยให้ทีมขึ้นชั้นมาเล่นในลีก บุนเดสลีกา รวมถึงผ่านรอบคัดเลือกของศึก ยูฟ่า คัพ ในฤดูกาล 2005-06
ในปี 2008, เขาย้ายไปคุมทีม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และในฤดูกาลแรกก็พาทีมคว้าแชมป์ เดเอฟเอล ซูเปอร์คัพ ด้วยการเอาชนะสุดยอดทีมอย่าง บาเยิร์น มิวนิค
ตลอดระยะเวลาในการคุมทีม “เสือเหลือง” นั้น เขาพาทีมคว้าแชมป์ บุนเดสลีกา ในฤดูกาล 2010-11และ 2011-12 โดยเฉพาะในฤดูกาล 2011-12 นั้น เขาพาทีมเก็บได้ถึง 81 คะแนน ซึ่งเป็นสถิติการทำแต้มสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ บุนเดสลีกา ในยุคนั้น
ในปี 2012 เยอร์เก้น คล็อปป์ พา ดอร์ทมุนด์ เอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค อีกครั้งในนัดชิงชนะเลิศศึก เดเอฟเบ-โพคาล และเป็นครั้งแรกที่ “เสือเหลือง” คว้าดับเบิลแชมป์ไปครอง นั่นทำให้ คล็อปป์ ได้รับเลือกเป็นผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมของเยอรมัน 2 ปีติดต่อกัน คือในปี 2011 และ 2012
แต่หลังจากนั้นผลงานของ ดอร์ทมุนด์ ก็เริ่มถดถอยลง และในปี 2015 หลังเกมที่ “เสือเหลือง” พ่าย โวล์ฟบวร์ก ในนัดชิงชนะเลิศ เดเอฟเบ-โพคาล เขาก็ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งกุนซือ โดยผลงานที่คุมทีม ดอร์ทมุนด์ ทั้งหมดคือ การเก็บชัยชนะได้ 179 นัด เสมอ 69 และแพ้ 70
จนมาถึงวันที่ 8 ต.ค. ปี 2015, เยอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจตบเท้าเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ของ ลิเวอร์พูล ซึ่งในนัดแรก “หงส์แดง” เสมอกับ ท็อทแน่ม ฮ็อตสเปอร์ 0-0 ประตู และทีมก็มาเก็บชัยชนะได้นัดแรกใน พรีเมียร์ลีก ด้วยการเอาชนะ เชลซี
จากนั้นผลงานของทีมก็ดีขึ้นเรื่อยๆ และในปี 2016 สามารถผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศศึก ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก แต่ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับ เซบียา ในนัดชิงชนะเลิศไปด้วยสกอร์ 1-3 ประตู
กระทั่งในนัดชิงชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2018-2019 “หงส์แดง” เอาชนะ ท็อทแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ไปด้วยสกอร์ 2-0 คว้าแชมป์เจ้ายุโรปสมัยที่ 6 ไปครองสมใจ
จนมาถึงฤดูกาล 2019-20 ภายใต้การคุมทีมของกุนซือชาวเยอรมันผู้นี้, ลิเวอร์พูล คว้า แชมป์พรีเมียร์ลีก มาได้ หลังจากต้องรอคอยมายาวนานถึง 30 ปี
และเมื่อ เยอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจต่อสัญญาออกไปถึงปี 2026 ทำให้เหล่าเดอะค็อปยิ่งมั่นใจว่าความสำเร็จของทีมจะไม่จบแบบไฟไหม้ฟางแน่นอน