ศึก ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศในวันเสาร์นี้ถูกมองว่ามันคือ “การล้างแค้น” โดยเฉพาะจากฝั่งของ ลิเวอร์พูล ที่อกหักดังเป๊าะมาจากเกมที่กรุงเคียฟเมื่อปี 2018 หรือ 4 ปีที่แล้ว
ตอนนั้นเกิดเหตุการณ์หลายอย่างขึ้น ซึ่งทำให้ หงส์แดง ต้องชอกช้ำสุดขีด ไม่ว่าจะเป็นการเสีย โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ตั้งแต่ครึ่งแรก ไหนจะ ลอริส คาริอุส ที่ทำพลาด 2 ครั้งส่งผลต่อการเสีย 2 ประตู และการแพ้ในรอบชิงชนะเลิศครั้งที่ 3 ติดต่อกันของ ลิเวอร์พูล
คนที่จำเหตุการณ์วันนั้นได้ดีที่สุดและยังฝังใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ซาลาห์ เพราะในเกมนั้นหลังผ่านไปแค่ 30 นาทีเขาก็โดน เซร์คิโอ รามอส เหนี่ยวล้มลงจนไหล่หลุด ไม่สามารถเล่นต่อได้ ทำเอาเจ้าตัวถึงกับร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร เพราะมันคือนัดชิงชนะเลิศถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ครั้งแรกในชีวิตของเขา
ดังนั้น, หลังจากที่ผ่าน บียาเรอัล มาได้ ซาลาห์ จึงบอกกับนักข่าวว่า เขาอยากเจอกับ มาดริด มากกว่าเพราะยังมีเรื่องคาใจ และเมื่อรู้ผลว่าจะได้เจอกับ ราชันชุดขาว ที่ปารีส, เจ้าตัวก็โพสต์ทวิตเตอร์ส่งสัญญาณว่า “เรามีเรื่องต้องสะสางกัน”
ล่าสุด คาร์โล อันเชล็อตติ ก็ออกมาตอบโต้แข้งวัย 29 ปีว่า ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่ต้องการล้างแค้น เพราะ มาดริด เองก็เคยแพ้ ลิเวอร์พูล ในรอบชิงชนะเลิศ ยูโรเปี้ยนคัพ ที่ปารีสเมื่อปี 1981 มาแล้ว นี่จึงเป็นการล้างแค้นของพวกเขาเช่นกัน
ศึกครั้งนี้จึงถูกทำให้กลายเป็นศึกแห่งการแก้แค้นของทั้งสองทีม ถ้ามองในมุมของการตลาดก็ถือเป็นจุดขายที่น่าสนใจและทำให้คนทั้งโลกรอคอย หากแต่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น
นายใหญ่เมืองเบียร์ยอมรับว่าเข้าใจความรู้สึกของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แต่ตัวเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกับลูกทีม
“มันชัดเจนว่ามันเป็นคืนที่โหดร้ายสำหรับพวกเรา มันโหดร้ายเกินกว่าที่จะยอมรับได้ ทั้งสถานการณ์ที่เกิดขึ้น วิธีที่เราเสียประตู และอาการบาดเจ็บของ โม หลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นในคืนนั้น ตอนนั้นเราอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์นัก เรามีซีซันที่ยาวนาน เราเพิ่งได้ผู้เล่นที่ได้รับบาดเจ็บกลับมาไม่นานก่อนลงเล่นรอบชิงชนะเลิศ จากนั้นเราก็ต้องเปลี่ยนตัวในเกมอีก และเราก็ไม่สามารถหาใครมาแทนที่ โม ได้เลย” คล็อปป์ กล่าว.
“แต่ผมไม่เชื่อหรอกว่านี่คือการแก้แค้น ผมเข้าใจนะ, แต่ไม่คิดว่าการแก้แค้นมันเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องนัก ผมเขาใจสิ่งที่ โม ได้พูดออกไป เขาต้องทำใหัมันถูกต้อง ผมก็ต้องการแบบนั้น แต่ในเยอรมนีเรามักพูดกันว่าคนเราจะมีโอกาสกลับมาเจอกันเป็นครั้งที่สองเสมอ ดังนั้นเราควรทำตัวให้ดีเพราะคุณจะได้เจอกันอีกครั้ง คุณจะได้รับการต้อนรับ และอย่าพูดถึงเรื่องปฏิกิริยาใด ๆ”
“ระหว่างเรากับ เรอัล มาดริด ไม่มีอะไรกัน มันคือเกมฟุตบอลระดับสูง ถ้ามีคนให้โอกาสที่จะทำให้เราเป็นแชมป์ในตอนนี้ มันก็คงจะเป็นเรื่องดี แต่มันจะไม่เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2018”
“ดังนั้น (ชัยชนะ) มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราได้ทำสิ่งที่ถูกต้องในสนามเท่านั้น”
แม้จะเป็นนัดชิงชนะเลิศที่เจ็บปวด แต่ 12 เดือนหลังจากนั้น เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็พา ลิเวอร์พูล กลับมาอีกครั้ง ซึ่งพวกเขาก็สามารถเอาชนะ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ และคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ได้อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งทำให้เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในโลกฟุตบอล แต่เจ้าตัวก็ยืนยันว่าลูกทีมสมควรจะได้รับเครดิตนี้ด้วย
“ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องชื่อเสียงเท่าไหร่” กุนซือ หงส์แดง กล่าว “ผมลืมเรื่องพวกนี้แทบจะทันทีเลย”
“ผมจะไม่สามารถเป็นแชมป์ แชมเปี้ยนส์ลีก จะไม่มีโอกาสเลย แต่ถ้านักเตะช่วยเราแก้ปัญหาได้ มันก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก”
“การเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ 3 ครั้งในรอบ 5 ปีนั้นมันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก ๆ เพราะนี่คือรายการที่ยากเย็นแสนเข็ญ มันพิเศษมาก ๆ เราต้องการที่จะทำให้มันถูกต้อง แล้วมาดูกัน”
แม้นายใหญ่ หงส์แดง จะไม่ได้มองว่าเกมนี้คือการล้างแค้น แต่เชื่อว่าแฟนบอลส่วนใหญ่ก็ยังคงจดจำความเจ็บปวดที่กรุงเคียฟเมื่อ 4 ปีที่แล้วได้เป็นอย่างดี และเมื่อได้มีโอกาสแก้ตัวอีกครั้งก็คงไม่มีใครอยากจะเห็นทีมรักพลาดเป็นรอบที่ 2 อย่างแน่นอน…