เกมที่ ลิเวอร์พูล สามารถเปิด แอนฟิลด์ ถล่มผู้มาเยือนอย่าง บอร์นมัธ ได้อย่างราบคาบถึง 9-0 นั้น ไม่ใช่ผลการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ในโลกของฟุตบอลยุคสมัยนี้ ที่เรื่องของแท็คติก เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์การแพทย์ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย
จริงอยู่ที่ในยุคของ พรีเมียร์ลีก นั้นมี 2 ทีมที่ทำได้มาก่อนหน้า นั่นคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ชนะ อิปสวิช ทาวน์ 1994-1995 และ เซาแธมป์ตัน 2020-2021), เลสเตอร์ ซิตี้ (ชนะ เซาแธมป์ตัน 2019-2020) และ หงส์แดง คือทีมที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่ทำได้สำเร็จจากเกมเมื่อคืนนี้และยังถือเป็นครั้งแรกของพวกเขาอีกด้วย
ก่อนที่เกมจะเริ่มขึ้น ดูเหมือนว่าทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ มีปัญหาทุกจุด ทั้งเรื่องของตัวผู้เล่น แท็คติก และสภาพจิตใจ โดยเฉพาะสิ่งที่เราได้เห็นจากความพ่ายแพ้ต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อสัปดาห์ก่อน มันคือ ลิเวอร์พูล ที่ดูหมดหวังเสียเหลือเกิน
ใครหลายคนจึงเชื่อว่าการกลับมาเปิดบ้านเจอกับน้องใหม่อย่าง บอร์นมัธ จึงถือเป็นจังหวะที่พอเหมาะพอเจาะที่ทีมจะเรียกความเชื่อมั่นกลับมา เพราะมันไม่มีเกมไหนจะเหมาะสมเท่ากับเกมนี้อีกแล้ว ถ้าพวกเขาจะคืนฟอร์มก็ต้องรีบทำตั้งแต่นัดนี้ จะชนะเท่าไหร่ก็ได้ ขอแค่ 3 คะแนนเพื่อเรียกพลังและกำลังใจ
แม้ว่าสถิติที่ผ่านในการเจอกันของทั้งคู่ หงส์แดง จะเหนือกว่า แต่เมื่อวัดจาก 2 เกมแรกที่เจอกับทีมรองบ่อนอย่าง ฟูแลม และ คริสตัล พาเลซ เชื่อว่ากองเชียร์ก็ใจไม่ดีเหมือนกัน กลัวเจอบอลสวนกลับ กลัวโดนยิงนำ กลัวต้องตามตีเสมอ และสุดท้ายก็ได้แค่คะแนนเดียว หรือไม่ได้อะไรเลย
อลิสซอน เบ็คเกอร์ ออกมาให้สัมภาษณ์หลังพ่ายศึกแดงเดือดว่า ทุกทีมใน พรีเมียร์ลีก รู้หมดแล้วว่าพวกเขาจะเล่นอย่างไร พูดง่าย ๆ ก็คือฟุตบอลแบบ ลิเวอร์พูล โดนจับทางได้หมดแล้ว คำถามที่ตามมาก็คือทีมจะทำอย่างไรเพื่อแก้ปัญหานี้
จริง ๆ คำตอบมันชัดเจนมานานพอสมควร เพราะ เยอร์เก้น คล็อปป์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เมื่อทีมของเขาฟอร์มไม่ดี โดนคู่แข่งจับทางได้ วิธีเดียวที่จะต้องทำคือ ทำงานให้หนักมากขึ้น เล่นในแบบของตัวเองต่อไป และรักษาความฟิตของนักเตะเอาไว้ให้ได้ ทุกอย่างจะตามมาเอง
ซึ่งมันแสดงออกมาในเกมที่ถล่ม บอร์นมัธ 9-0
สังเกตได้ว่าการจัดตัวของ คล็อปป์ แม้ทีมจะย่ำแย่ขนาดไหน เขาก็ยังยึดรูปแบบการเล่น 4-3-3 เหมือนเดิม อาจจะเปลี่ยนแค่ตัวนักเตะในบางตำแหน่ง ซึ่งเกมเมื่อคืนนี้เราก็ได้เห็น ฟาบินโญ กลับมาลงเล่นเป็นตัวจริงอีกครั้ง เจมส์ มิลเนอร์ โดนดร็อปไป พร้อมกับการใช้งาน ฮาร์วีย์ เอลเลียต ต่อเนื่อง
นักเตะที่ฟอร์มแย่ในเกมแดงเดือดอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน ยังคงได้ลงสนาม เหตุผลสำคัญคือตอนนี้ไม่มีตัวโรเทชั่นแล้ว ต้องเอาคนที่ดีที่สุดลงเล่น เพียงแต่สิ่งที่ไม่เหมือนสัปดาห์ก่อนก็คือสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง มุ่งมั่น และเข้มข้นกว่าเดิม
จะเห็นได้ว่า คล็อปป์ แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยในเรื่องของรูปแบบ แท็คติก และการเล่น พวกเขายังเล่นเหมือนเดิมเพิ่มเติมที่สภาพภายในดีขึ้นและถูกกระตุ้นมาอย่างหนัก เราจึงได้เห็นเกมที่ดุดันและแววตาที่มุ่งมั่นมากขึ้น
บางคนบอกว่านักเตะชุดนี้อิ่มตัวแล้ว แก่แล้ว เพรสไม่ไหว แต่ใครจะรู้ว่าหลังจบเกมแดงเดือด คล็อปป์ พูดอะไรกับลูกทีมถึงทำให้พวกเขากลับมาเป็น ลิเวอร์พูล ที่น่าเกรงขามเหมือนเดิม
นอกจากจิตวิญญาณของความเป็น “เกเก้นเพรสซิ่ง” จะกลับคืนสู่ร่าง สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือการค่อย ๆ ใส่ความเปลี่ยนแปลงลงไปในทีมในแบบที่เราไม่รู้ตัว ซึ่ง ฮาร์วีย์ เอลเลียต คือสิ่งนั้น เขาคือนักเตะที่ คล็อปป์ พยายามสอดแทรกเข้าไปในทีม ซึ่งในนัดนี้เจ้าตัวก็เล่นได้แบบเนียนตาจนสามารถยิงประตูแรกของตัวเองใน พรีเมียร์ลีก ได้แถมยังประสานงานกับรุ่นพี่ได้อย่างลื่นไหลจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน
อีกเรื่องคือฟอร์มการเล่นของนักเตะตัวหลักอย่าง หลุยส์ ดิอาซ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน ที่เมื่อคืนนี้มีส่วนร่วมกับเกมรุกแทบทุกจังหวะ แถมยังยิงได้คนละ 2 ประตู โดยเฉพาะ บ็อบบี้ ที่ทำได้อีก 3 แอสซิสต์ ด้วย
บางคนอาจจะมองว่าก็เกมนี้มันง่าย เล่นซัก 70-80% ก็เอาชนะได้แล้ว ไม่เห็นจะยากเย็นอะไร แต่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ปัญหาที่มากมาย และสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ การเอาชนะคู่แข่งในเกมที่ต้องชนะ แถมยังเป็นการยิงแบบถล่มทลายเช่นนี้ มันมากกว่าเรียกความเชื่อมั่นให้กับทีมด้วยซ้ำ
จริงอยู่ที่การชนะ 1-0 หรือ 2-0 มันก็ 3 คะแนนเหมือนกัน แต่การยิงได้ถึง 9 ประตูจากผู้เล่น 6 คน แถมฟอร์มยังเปล่งปลั่งน่าเกรงขามเช่นนี้ น่าจะเป็นการเพิ่มขัวญและกำลังใจได้หลายเท่าตัว และอาจเป็นจุดเปลี่ยนของซีซันนี้ก็เป็นได้…
แต่ก่อนอื่นขอกองกลางเพิ่มอีกซักคน….จะอุ่นใจมากกว่านี้เยอะ