หลังจบเกมถล่ม บอร์นมัธ ไป 9-0 มีหลากหลายประเด็นที่ให้พูดถึง ส่วนใหญ่จะหนักไปทางชื่นชมบรรดาลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้ง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน, หลุยส์ ดิอาซ, ฮาร์วีย์ เอลเลียต, ฟาบินโญ, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ เวอร์จิล ฟาน ไดค์
แต่มีอยู่หนึ่งรายที่แฟนบอลและกูรูต่างตั้งข้อสังเกตและยังกังขากับฟอร์มการเล่นที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีส่วนร่วมในชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์นี้ด้วยก็ตาม นั่นคือ แอนดรูว์ “ร็อบโบ้” โรเบิร์ตสัน
3 นัดก่อนหน้านี้นักเตะ หงส์แดง ต่างโดนวิจารณ์อย่างหนักถึงฟอร์มการเล่นกันอย่างถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่ ฟาน ไดค์ คนที่ถือได้ว่าคงเส้นคงวาที่สุดคนหนึ่งในทีม แต่คนที่ถูกตั้งคำถามมากที่สุดกลายเป็น ร็อบโบ้ แบ็คซ้ายตัวจริงชาวสก็อตต์
ผ่านมา 4 นัด, โรเบิร์ตสัน ได้ลงสนามเต็มเกมแค่นัดเดียวคือเกมเปิดฤดูกาลที่เสมอกับ ฟูแลม 2-2 นอกนั้นในเกมเจอ คริสตัล พาเลซ ลงเล่น 63 นาที, แม็ตช์แดงเดือดลง 85 นาที และล่าสุดในที่นัดเปิดบ้านถล่ม บอร์นมัธ ลงสนามไป 69 นาที
จะว่าไปไม่น่าใช่เรื่องปกติเท่าไหร่ที่แบ็คซ้ายตัวจริงอย่าง ร็อบโบ้ จะถูกเปลี่ยนตัวออกถึง 3 เกมจาก 4 นัดล่าสุด คำถามที่ตามมาคือมันเกิดอะไรขึ้นกับแข้งวัย 28 ปีรายนี้
พอล เมอร์สัน กูรูฝีปากกล้าแห่ง สกายสปอร์ต ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจเกี่ยวกับสถานภาพในปัจจุบันของดาวเตะทีมชาติสก็อตแลนด์ โดยเขาเชื่อว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ เริ่มไม่มีความเชื่อมั่นในตัวลูกทีมรายนี้ของเขาแล้ว และมองว่า คอสตาส ซิมิคาส นั้นเริ่มมีบทบาทในทีมมากขึ้นเรื่อย ๆ
“คล็อปป์ กำลังหมดความไว้วางใจ โรเบิร์ตสัน หลังจากที่ในช่วงหลังเขาถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามบ่อยขึ้น ซึ่งตามปกติแล้วกองหลังไม่ใช่ตำแหน่งที่จะเปลี่ยนกันง่าย ๆ ในแต่ละเกมเหมือนกับพวกตัวรุก แต่ช่วงหลัง คล็อปป์ มักจะเปลี่ยน โรเบิร์ตสัน ออกอยู่บ่อย ๆ ผมว่ามันคงไม่ใช่สถานการณ์ปกติซักเท่าไหร่”
“โดยเฉพาะในเกมล่าสุดที่เอาชนะ บอร์นมัธ 9-0 แทนที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะเปลี่ยนเอากองกลางลงมาแพ็คเกม หรือไม่ก็ส่งพวกแข้งดาวรุ่งลงสนามเพื่อหาประสบการณ์เพราะสกอร์มันขาดไปแล้ว แต่เขาทำให้ผมแปลกใจด้วยการเปลี่ยน แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เป็นคนแรก ๆ ทั้ง ๆ ที่เกมนี้เขาก็เล่นได้โอเค และยังทำแอสซิสต์ได้ด้วย”
“ผมเชื่อว่าตอนนี้มีความไม่ปกติเกิดขึ้น ร็อบโบ้ อาจจะไม่ได้รับความไว้วางใจจาก เยอร์เก้น คล็อปป์ อีกต่อไป และผมก็เชื่อว่าเขาจะดัน คอสตาส ซิมิคาส ขึ้นมาแทนที่ในเร็ว ๆ นี้ แม้ที่ผ่านมา โรเบิร์ตสัน จะเป็นตัวเลือกแรกของนายใหญ่ชาวเยอรมันมาโดยตลอด แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว”
“ซิมิคาส สามารถยกระดับฝีเท้าของตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็วและกำลังจะแซงหน้าแบ็คซ้ายรุ่นพี่ไป ร็อบโบ้ อาจจะอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อีกไม่นาน เพราะฟอร์มของ ซิมิคาส นั้นกำลังร้อนแรงเหลือเกิน ซึ่งผมว่าเราจะได้เห็น เยอร์เก้น คล็อปป์ จัดการดร็อป ร็อบโบ้ เอาไว้ข้างสนามในอีกไม่กี่นัดข้างหน้านี้แน่ นี่คือสิ่งที่ผมเชื่อ”
อันที่จริงเรื่องนี้ได้เคยมีการพูดถึงมาแล้วเมื่อฤดูกาลก่อน แต่ตอนนั้นและเมื่อหันมาดูสถิติของทั้ง โรเบิร์ตสัน และ ซิมิคาส ก็จะพบว่าสิ่งที่กูรูรายนี้พูดเอาไว้นั้นมีเค้าโครงของความจริงไม่น้อยทีเดียว
4 นัดใน พรีเมียร์ลีก ที่ผ่านมา ร็อบโบ้ ได้ลงสนามในฐานะตัวจริงทั้ง 4 เกม ถูกเปลี่ยนตัวออก 3 นัดรวมแล้วลงสนามไปทั้งหมด 307 นาทีทำได้ 1 แอสซิสต์ ในขณะที่ฝั่งของแข้งชาวกรีซลงเล่นเป็นตัวสำรองไปทั้งหมด 53 นาทีแต่ทำแอสซิสต์ได้มากกว่าที่ 2 ครั้ง
ตัวเลขในเกมรับก็น่าสนใจ ซิมิคาส นั้นมีสถิติการเข้าสกัดที่ดีกว่า โรเบิร์ตสัน ที่ 1 ต่อ 0.5 ครั้งต่อเกม เลี้ยงบอลได้ดีกว่าที่ 0.7 ต่อ 0.5 ครั้งต่อเกม ส่วนตัวเลขในเรื่องของการแย่งบอลทั้งคู่ทำได้เท่ากันที่ 0.3 ครั้งต่อเกม และสถิติอีกอย่างหนึ่งที่น่าสังเกตก็คือเปอร์เซ็นต์การผ่านบอลที่ ซิมิคาส ทำได้ดีกว่า ร็อบโบ้ ถึง 93.8 ต่อ 82.4
สำหรับคะแนนฟอร์มการเล่นโดยรวม เว็บไซต์ Whoscored ให้ทาง ซิมิคาส ทำได้ดีกว่าที่ 6.47 แข้งชาวสก็อตอย่างเฉียดฉิวที่ 6.46 แต้ม
สิ่งเหล่านี้กำลังบอกอะไรกับเราและ เยอร์เก้น คล็อปป์
หากวัดจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าฟอร์มของ ร็อบโบ้ ดูดร็อปลงมาอย่างเห็นได้ชัดสวนทางกับ ซิมิคาส ที่เข้าสู่ปีที่ 3 ด้วยความเชื่อมั่นและการพัฒนาฝีเท้าที่น่าสนใจ
เว็บไซต์ ลิเวอร์พูลเอ็คโค ถึงกับคาดการณ์ว่าแผงแบ็คโฟร์ในเกมที่จะเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ นิวคาสเซิล ในวันพุธนี้ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะส่งดาวเตะทีมชาติกรีซลงเล่นเป็นตัวจริงแทนดาวเตะสก็อตติชในตำแหน่งแบ็คซ้ายอย่างแน่นอน
ซึ่งหากว่า ซิมิคาส ระเบิดฟอร์มได้ในเกมดังกล่าวก็มีสิทธิ์ที่เจ้าตัวจะจับจองไปยาว ๆ ปล่อยให้ โรเบิร์ตสัน กลับไปรอโอกาสข้างสนามแทน
มองในแง่ของคนเป็นโค้ช ถือเป็นเรื่องดีที่มีนักเตะที่มีฝีเท้าและฟอร์มการเล่นที่ใกล้เคียงกันในตำแหน่งเดียวกันให้ใช้งาน ในขณะที่ฟุตบอลยุโรปกำลังจะกลับมาลงสนามกันอีกครั้งในเดือนหน้า
แต่ถ้ามองในมุมของ โรเบิร์ตสัน แล้ว…นี่คือสัญญาณเตือนว่าเขาต้องรีบเค้นฟอร์มเก่งกลับมาโดยเร็ว เพราะมิเช่นนั้นอาจไม่มีโอกาสได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงอีกเลยก็ได้