หากจำกันได้ตอนที่บุกไปเยือน ‘เดอะ บีส์‘ ที่ เบรนท์ฟอร์ด คอมมูนิตี้ สเตเดี้ยม เมื่อวันที่ 25 กันยายนนั้น, หงส์แดง อยู่ในช่วงที่กำลังย่ามใจจากการได้ตัวผู้เล่นกลับมาแบบครบ ๆ บวกกับการทำผลงานช่วงออกสตาร์ทอย่างสุดแจ่ม ด้วยการคว้าชัยชนะ 4 จาก 5 เกมแรก ซึ่งพวกเขาคงไม่นึกว่าเหล็กในของ “เจ้าผึ้งน้อย” จะมีพิษร้ายแรงถึงเพียงนี้
แม้ว่า ‘หงส์แดง’ จะไม่ได้เป็นฝ่ายปราชัยก็ตาม ด้วยฐานะการเป็นถึงทีมลุ้นแชมป์ แต่ดันพลาดท่าเสมอกับน้องใหม่ นั่นคือหายนะชัด ๆ
ดังนั้น, ในการเจอกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เยอร์เก้น คล็อปป์ จึงวางหมากให้ลูกทีมเล่นด้วยความรัดกุมและครองบอลให้ได้มากที่สุด มีสมาธิกับเกมโต้กลับ และพยายามสร้างสรรค์โอกาสในการทำประตู
การที่ไร้ซึ่ง ซาดิโอ มาเน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำให้ คล็อปป์ ต้องส่ง อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด–แชมเบอร์เลน ลงเล่นในตำแหน่งปีกขวา พร้อมกับโยก ดิโอโก้ โชต้า มาเล่นด้านซ้าย ส่วนหน้าเป้าเป็น บ็อบบี้ ฟีร์มีโน
ช่วงแรกเป็นการเล่นตามเกมของตัวเองทั้ง 2 ทีม, ลิเวอร์พูล ใน แอนฟิลด์ คือทีมที่ต้องครองบอลและหาช่องเจาะเข้าทำ ในขณะที่ เบรนท์ฟอร์ด รู้สถานภาพตัวเองดีว่า โอกาสที่จะทำทุกอย่างให้เหมือนกับเกม 3-3 นั้นมีไม่มากนัก ดังนั้น…การอย่าเสียประตูก่อนจึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
รูปเกมจึงออกมาอึดอัดจนทำให้หลายคนกังวลว่า สงสัยนัดนี้ ‘หงส์แดง’ อาจจะต้องกินแห้วอีกตามเคย
อย่างไรก็ตาม, หนึ่งในข้อสังเกตคือ การไร้ ซาลาห์ และ มาเน อาจทำให้เกมรุกดูอ่อนลงไปก็จริง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้คู่แข่งไม่ได้ทุ่มสมาธิไปกับเกมรับมากเหมือนกัน เพราะตัวอันตรายของเจ้าบ้านไม่อยู่ถึง 2 ราย
นั่นจึงเป็นการเปิดโอกาสและช่องว่างให้มีความผิดพลาดในแผงหลังเกิดขึ้น, ถ้า ซาลาห์ อยู่เราก็จะได้เห็นผู้เล่นของ เบรนท์ฟอร์ด ยืนซ้อนกันอย่างน้อย 2 คนตรงริมเส้นด้านขวา เพื่อปิดทางวิ่งของดาวยิงหัวฟู เช่นกันกับด้านซ้ายที่พวกเขาก็ต้องมาเน้นไม่ให้ มาเน ทะลุถึงเส้นหลังหรือเจาะเข้าตรงกลางได้
พอไม่มี 2 คนนี้ ทีมเยือนก็ไม่ต้องกังวลอะไรมาก แค่แพ็คแน่นและไล่บอล ปล่อยให้นักเตะ หงส์แดง ถ่ายบอลไปมา ก่อนจะยิงทิ้งยิงขว้างกันไปตามระเบียบ
40 นาทีกว่า ๆ เป็นแบบนั้นจริง ๆ, นักเตะเจ้าบ้านแทบทำอะไรไม่ได้เลย มีลูกหวาดเสียวออยู่แค่ 2-3 จังหวะ ส่วนทีมเยือนมีโอกาสได้โต้บ้างเป็นระยะ แต่ด้วยการที่ คล็อปป์ รู้อยู่แล้วว่า โธมัส แฟร้งค์ นั้นมีทีเด็ดขนาดไหน เราจึงแทบไม่ได้เห็น อิวาน โทนี ได้ดวลกับ ฟาน ไดจ์ค หรือ มาติป เท่าไหร่นัก, เผลอ ๆ ไบรอัน เอ็มบูโม ยังอันตรายมากกว่าเสียอีก
เกมที่อึดอัดแบบนี้สิ่งที่จะตัดสินความแตกต่างก็คือ ลูกตั้งเตะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทีมรองบ่อนที่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีในการสรรหาสารพัดสูตรมาทำร้ายทีมที่แกร่งกว่า แต่นัดนี้กลายเป็น ลิเวอร์พูล ฉวยโอกาสจากลูกเตะมุมได้ดีกว่า จากความผิดพลาดของนักเตะกองหลังของทีมเยือน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
ปกติทีมแบบ เบรนท์ฟอร์ด จะป้องกันลูกตั้งเตะได้ดี เหนียวแน่น หากแต่เกมนี้ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก็ลงโทษพวกเขาได้ทันที จี้ไปยังจุดแข็งของตัวเองจนนำไปสู่การเสียประตู
แน่นอนว่าวิธีการเล่นของทีมที่เหนือกว่าในเกมแบบนี้ อาจไม่ถูกใจบรรดาแฟนบอลหัวร้อนเท่าไหร่ เพราะเมื่อดูจากนักเตะและตารางคะแนน พวกเขาคงคิดกันง่าย ๆ ว่ายังไงก็ถล่มแน่นอน แต่ฟุตบอลเมื่อแต่ละทีมมีนักเตะ 11 คนและมีเวลา 90 นาทีเท่ากัน อะไรมันก็เกิดขึ้นได้เสมอ
บางคนไม่ถูกใจที่ ลิเวอร์พูล เน้นการถ่ายบอลไปมา ไม่เจาะเข้ากลาง หรือไม่พยายามเลี้ยงกินตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันคือแท็คติกที่ผู้จัดการทีมเป็นคนกำหนดมา การพยายามเสี่ยงจนเกินไปอาจนำมาซึ่งความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้หลังจบเกม
เช่นเดียวกับการที่ทีมของ เยอร์เก้น คล้อปป์ ทำให้เห็นในเกมนี้ พวกเขาไร้ ซาลาห์ และ มาเน แต่ก็ใช้วิธีที่เคยเล่นยืนพื้นเอาไว้ทั้งการครองบอล พยายามใช้เกมริมเส้นครอสเข้ากลาง ใช้กองกลางเติมไปในกรอบเขตโทษ กองหน้าลงมาเชื่อมบอลง แม้ในช่วงแรกจะเสียบอลกันง่าย แต่ก็อาศัยความอดทน จนในที่สุดก็ค่อย ๆ ปลดล็อคได้สำเร็จ
หลังจบเกมฝั่งเจ้าบ้านได้รับคำชมไปหลายคน ทั้ง เคอร์ติส โจนส์ ที่ลงมาทำหน้าที่เชื่อมเกมรุกฝั่งซ้ายได้ดี และมีจังหวะเลี้ยงเข้าไปยิงอยู่ 1 ครั้ง ในขณะที่ ฟาบินโญ ที่คุมแดนกลางได้อยู่หมัดแถมโหม่งทำประตูเบิกร่องได้อย่างสุดเซอร์ไพรส์ด้วย
ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด–แชมเบอร์เลน และ ทาคุมิ มินามิโนะ พูดถึงรายแรกที่กลับมายิงประตูได้อีกครั้งในรอบ 1 ปีกว่า ๆ แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะดุเหมือนหายไปจากเกม และเสียบอลบ่อย แต่ก็เอาตัวรอดจากคำวิจารณ์ได้พอสมควร
ในส่วนของแข้งชาวญี่ปุ่นก็เพิ่งโดนวิจารณ์อย่างยับเยินจากเกมเสมอ อาร์เซนอล 0-0 ในศึก คาราบาว คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก แต่ก็กลับมาเรียกความมั่นใจได้อีกครั้ง ซึ่งต้องยกความดีให้กับ ฟีร์มีโน ที่ปั้นเพื่อนได้สำเร็จ แถมได้ของขวัญวันเกิดเป็นประตูตอกฝาโลงคู่แข่งอีกต่างหาก
ชัยชนะนัดนี้อาจจะดูง่าย แต่จริง ๆ มันสำคัญอย่างมาก, เพราะพวกเขาไม่ได้มีเกมยากในช่วงนี้ นอกจากการเจอกับ ปืนโต ใน คาราบาว คัพ เลก 2 วันพฤหัสบดี ส่วน พรีเมียร์ลีก ไม่หนักมากนัก กับการไปเยือน คริสตัล พาเลซ ในช่วงสุดสัปดาห์, ดังนั้น การไร้ ซาลาห์ และ มาเน ในขณะที่ยังเก็บ 3 คะแนนได้ในเกมที่ควรทำได้จะช่วยรักษาโมเมนตั้มของทีมเอาไว้ ก่อนที่ 2 คนนั้นจะกลับมาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์อีกที
แน่นอนว่าแม้จะเก็บได้อีก 3 คะแนนในการไปเยือน ‘ดิ อีเกิ้ลส์’, ลิเวอร์พูล ก็ยังคงตามหลัง แมนเชสเตอร ซิตี้ อยู่ 8 แต้มอยู่ดี แต่ก็อย่าลืมว่า ยังเหลือเกมให้ลุ้นกันอีกตั้ง 16 นัด ซึ่งไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ ขอแค่รักษาฟอร์มแบบนี้ไปเรื่อย ๆ และชนะในเกมที่ควรชนะแบบนี้ให้ได้
พวกเขาต้องโฟกัสไปยังการทำหน้าที่ตอนนี้ให้ดีที่สุด…หลังวันที่ 22 พฤษภาคม ค่อยมาว่ากันก็ยังไม่สาย