หลังจบเกมแดงเดือดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป 4-0 เมื่อรวมผลจากนัดแรกที่บุกไประเบิด โอลด์ แทรฟฟอร์ด มา 5-0, เบ็ดเสร็จ 2 นัดสกอร์ขาดลอยไปถึง 9-0 ซึ่งเท่าที่เคยสัมผัสศึกแดงเดือดที่เปี่ยมไปด้วยความสำคัญและศักดิ์ศรีนี้มา ไม่เคยมีครั้งไหนที่มีระยะห่างกันมากขนาดนี้
ทั้ง 2 นัดที่ผ่านมานั้นแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกัน ทีมหนึ่งเล่นอย่างมีระบบแบบแผน นักเตะมีความมุ่งมั่น ส่วนอีกทีมยังหารูปแบบที่ลงตัวไม่ได้ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และไม่รู้ว่าสภาพจิตใจของผู้เล่นพร้อมขนาดไหน ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการรวมทั้งเป้าหมายของแต่ละทีมได้อย่างชัดเจน
สิ่งเหล่านี้สามารถยืนยันได้จากบทสัมภาษณ์ทั้งก่อนและหลังเกมของ ราล์ฟ รังนิค และ บรูโน แฟร์นันเดส 2 คีย์แมนจากฝั่ง ปีศาจแดง ที่ออกมายอมรับว่าพวกเขายังมีปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างการบริหารที่ส่งผลต่อผลงานของทีมโดยตรง
“ในเยอรมนีเรามีเฮดโค้ชและปกติจะมีคนที่มีทักษะและทำงานกับสโมสรต่อเนื่องในระยะยาวที่ทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการสรรหา การสเก๊าท์ และทำงานทั่ว ๆ ไปในแต่ละวันอีกอย่างน้อย 2 คน ซึ่งพวกเขาจะเป็นคนที่หาเสาะหาเฮดโค้ชที่เหมาะกับทีมมาทำงาน แต่สิ่งนี้ยังไม่ใช่ธรรมเนียมปฏิบัติกันของที่นี่ และมันเป็นงานของผู้อำนวยการสโมสรหรือผู้อำนวยการฟุตบอล ซึ่งมีไม่กี่สโมสรที่มีตำแหน่งนี้”
“ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องของอนาคต แต่สโมสรใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ควรที่จะมอบหมายงานนี้รวมทั้งความรับผิดชอบทั้งหมดให้แก่คนคนเดียว นั่นก็คือผู้จัดการทีม ผมไม่แน่ใจว่าของแบบนี้ควรจะโยนให้เป็นหน้าที่ของคนเพียงคนเดียว ไม่ว่าเขาจะเก่งขนาดไหนก็ตาม”
“ผมรู้ว่าทั้ง ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี ต่างก็มีคนเก่ง ๆ ที่มาดูแลเรื่องการสรรหา การติดตามฟอร์มการเล่น เรื่องการแพทย์ ซึ่งผมมองว่านี่เป็นประเด็นที่เราจะต้องให้ความสำคัญกับมันด้วย”
รังนิค พยายามสะท้อนสิ่งเหล่านี้ออกมาก่อนเกมแดงเดือดจะเริ่มขึ้น ซึ่งพอหลังจากที่โดนยำใหญ่ไปถึง 4-0 แล้ว บรูโน แฟร์นันเดส ก็ออกโรงมาตอกย้ำถึงความล้มเหลวของต้นสังกัดอีกรอบ
“ลิเวอร์พูล กำลังต่อสู้เพื่อการคว้าแชมป์ นั่นคือสิ่งที่แตกต่าง ส่วนเราต่อสู้โดยไม่มีเป้าหมาย, เราต้องกลับมามองที่ตัวเราเอง มองดูทุกอย่าง และพยายามทำความเข้าใจว่ามันมีอะไรที่ผิดพลาดไป เราต้องสู้จนกว่าจะถึงนัดสุดท้าย ไม่มีใครคิดว่ามันจบแล้ว เราต้องสู้เพื่อเป้าหมายบางอย่างของเรา”
สถิติหลังจบเกมบ่งบอกถึง “ความห่าง” ของทั้งสองทีมได้เป็นอย่างดี ลิเวอร์พูล มีเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่มากกว่าถึง 72 ต่อ 28 พยายามยิงประตู 8 ครั้ง เข้ากรอบ 5 เป็นประตู 4 ส่วนฝั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำได้เพียงครั้งเดียว ซึ่งมันเกิดขึ้นในครึ่งหลังจาก เจดอน ซานโช นักเตะค่าตัว 72.9 ล้านปอนด์ที่ลงเล่นเป็นตัวสำรอง
รูปเกมที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความห่างกันของฟอร์มการเล่นเพียงอย่างเดียว แต่มันกำลังบอกเราว่า ยูไนเต็ด มีปัญหาตั้งแต่หัวจรดท้าย
ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์เองก็เคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน พวกเขาคือทีมที่ยิ่งใหญ่ในยุค 70-80 แต่พอเปลี่ยนมาเป็น พรีเมียร์ลีก กลายเป็นว่าสโมสรติดหล่มความสำเร็จตัวเอง พยายามทู่ซี้ใช้ระบบเดิมอย่าง “บูทรูม” ทำทีมต่อเนื่องแต่ก็ยังล้มเหลว จนเริ่มเปลี่ยนแปลงด้วยการนำเอา เชร์ราร์ด อุลลิเยร์ มาคุมทีม ซึ่งกลายเป็นผู้จัดการทีมนอกเกาะอังกฤษคนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ก่อนจะช่วยคว้า “ทริปเปิ้ลแชมป์บอลถ้วย” เมื่อปี 2001 และมีลุ้นแชมป์ลีกอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ใช่คำตอบ
ราฟาเอล เบนิเตซ คือคนที่เข้ามาจุดประกายความหวังในการคืนความยิ่งใหญ่ของ ลิเวอร์พูล แชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2005 คือจุดเริ่มต้น, อย่างไรก็ตามรองแชมป์ พรีเมียร์ลีก ปี 2008 ก็คือจุดสิ้นสุดเหมือนกัน และหลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าทีมจะมีแต่ปัญหารุมเร้าทั้งเรื่องผลงานและสถานทางการเงินจนเกือบล้มละลายในปี 2010
จุดพลิกผันมาอยู่ที่หลังจากได้เจ้าของใหม่เป็นกลุ่มทุนจากอเมริกา หงส์แดง ก็เริ่มวางระบบให้กับตัวเอง พวกเขามีคนคอยดูแลในส่วนต่าง ๆ ทั้งผู้อำนวยการเทคนิค ทีมงานแมวมอง นักสถิติ คนดูแลเรื่องการตลาด เราจึงได้เห็นการลองของอย่างการดึงเอา เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เฮดโค้ชดาวรุ่งสมัยนั้นเข้าสู่ถิ่น แอนฟิลด์ ซึ่งเขาก็เกือบพาทีมสมหวังในปี 2014 ก่อนที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ มาแทนที่ในเดือนตุลาคม 2015 และจากนั้นคือประวัติศาสตร์
เท่ากับว่าหากนับเฉพาะตอนที่ หงส์แดง ได้กลุ่ม FSG เข้ามาบริหารสโมสร พวกเขาใช้เวลากว่า 9 ปีในการคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 และใช้เวลา 10 ปีเต็มในการกลับมาเป็นแชมป์ลีกสูงสุดอีกครั้ง
และหากนับเฉพาะช่วงเวลาที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เป็นผู้จัดการทีม พวกเขาใช้เวลา 6 ปีกว่าในการสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมในเกมแดงเดือดเมื่อคืนนี้
นั่นคือสิ่งที่ ราล์ฟ รังนิค อยากจะบอกกับ แมนฯ ยูไนเต็ด
“ผมไม่คิดว่าทีมใหญ่อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด จะอดทนได้ถึง 3-4 ปีเพื่อที่จะกลับมาประสบความสำเร็จ และผมคิดว่านั่นมันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น”
“เราเคยพูดถึง ลิเวอร์พูล เมื่อก่อนหน้านี้และระยะเวลาที่ใช้ในการสร้างทีม ถ้าคุณรู้แน่ ๆ ว่าคุณกำลังต้องการอะไร คุณก็เข้าสู่ตลาดซื้อขายแค่ 2-3 รอบ แต่ถ้าคุณไม่รู้ว่ากำลังมองหาอะไรอยู่ มันก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร แต่ถ้าคุณรู้ว่าอยากจะเล่นฟุตบอลแบบไหน อยากได้นักเตะแบบไหนในแต่ละตำแหน่ง คุณก็จะไปตามหาผู้เล่นแบบนั้นและพยายามโน้มน้าวให้พวกเขาย้ายมาร่วมทีม”
“ลิเวอร์พูล จบที่ 8 พวกเขาไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรปในรายการใดเลย ดังนั้น เยอร์เก้น คล็อปป์ จึงโฟกัสทุกอย่างไปที่ พรีเมียร์ลีก และฟุตบอลถ้วยในประเทศได้อย่างเต็มที่ในซีซันที่ 2 ของตัวเอง แต่ในตลาดซื้อขายต่อ ๆ มา พวกเขาก็ยังสามารถดึงนักเตะที่เก่ง ๆ มาร่วมทีมได้ด้วย“
“นี่คือทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันไม่ได้ซับซ้อนเลย มันไม่ใช่การทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่เพื่อที่จะได้ผลงานที่ดีที่สุด คุณก็จะต้องรู้ว่าเป้าหมายคุณคืออะไร แต่ถ้ายังไม่รู้ มันก็ยากอยู่ดี”
หวังว่าหลังจากที่แต่งตั้ง เอริค เทน ฮาก เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด คงใช้เวลาไม่นานในการกลับมาเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อในศึกแดงเดือดกันอีกครั้ง