1 คะแนนจากเกมต้อนรับการมาเยือนของ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ นั้นหลายคนบ่นเสียดาย เพราะมันเท่ากับว่าการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ปีนี้ แทบจะปิดฉากลงไปแล้ว
เด็กหงส์บางคนยังแอบมีความหวังกับ นิวคาสเซิล ที่จะไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในคืนวันนี้, แต่ก็นะ…ใครจะไปคิดว่าทีมของ เอ็ดดี้ ฮาว จะกล้าสร้างความเสียหายให้อดีตแชมป์ได้ถึงถิ่น แม้ว่าเพิ่งจะอกหักจากการตกรอบ UCL มาก็ตาม
ว่ากันถึงเกม ลิเวอร์พูล เจอกับ สเปอร์ส เมื่อคืนนี้ การจัดตัวผู้เล่นของเจ้าบ้านถือได้ว่าฟูลทีม จะสะดุดตาตรงที่ อิบราฮิมา โคนาเต้ ได้ลงเล่นแทน โจเอล มาติป เป็นนัดที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเป็นการปรับแท็คติกเพื่อรับมือกับความเร็วของ ซน เฮือง-มิน กองหน้าฟอร์มร้อนแรงของทีมเยือนนั่นเอง
ส่วนตัวผู้เล่นในตำแหน่งอื่นเรียกได้ว่าจัดเต็มเพราะยังไงก็ต้องเอา 3 แต้มไว้ก่อน ในขณะที่ทีมเยือนเองมีตัวเลือกไม่มาก แต่พวกเขาขอแค่มี แฮร์รี เคน และตี๋ซนแค่นั้นก็เกินพอ แถมด้วย อันโตนิโอ คอนเต้ จะเอาอะไรไปมากกว่านี้
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
รูปเกมพอจะเดาได้ว่าเจ้าบ้านต้องขึงพืดเปิดเกมบุกใส่อย่างเต็มที่ ในขณะที่ คอนเต้ แม้จะมาในระบบ 3-4-3 แต่พอยืนในเกมรับจริง ๆ ก็คือ 5-4-1 เพื่อปิดเกมริมเส้นทั้งสองข้างของ ลิเวอร์พูล, สังเกตว่าเวลา โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หรือ หลุยส์ ดิอาซ ได้บอลต้องมีนักเตะ สเปอร์ส ไปยืนดักอยู่ข้างหน้าอย่างน้อย 2 คนทุกครั้ง ทำให้บอลไม่สามารถทะลุมาจากด้านข้างได้บ่อยนัก
ส่วนเรื่องจะเจาะตรงกลางไม่ต้องพูดถึง ซาดิโอ มาเน แทบไม่มีโอกาสพลิก เพราะข้างในเต็มไปด้วยนักเตะทีมเยือน แถมลูกกลางอากาศพวกเขาก็ยังเก็บกินได้เกือบหมด ต้องอาศัยการยิงไกลซะมากกว่า
ครึ่งแรกได้แลกกันอยู่บ้าง เจ้าบ้านมีโอกาสมากกว่า แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้ จบด้วยสกอร์ 0-0
พอลงมาครึ่งหลัง การประสานงานระหว่าง เคน-เซสเซยอง-ซน ช่วยให้พวกเขาได้ประตูขึ้นนำไปก่อนชนิดทำแฟนบอลเจ้าถิ่นช็อคไปเหมือนกัน
รูปแบบการเข้าทำเหมือนปกติทั่วไป บอลโยนจากแดนหลังมาที่กองหน้าทีมชาติอังกฤษก่อนจะครองบอลเอาไว้แล้วลากตัดเข้ากลางมาดึงตัวประกบได้ 5-6 คน ทำให้ด้านขวาก็เปิดโล่ง เป็นโอกาสที่ ไรอัน เซสเซยอง วิ่งเติมขึ้นมารับบอลก่อนจะปาดเข้าตรงกลางให้ดาวยิงโอปป้าจัดการเข้าชาร์จเป็นประตู
พูดถึงการปรับตัวของ แฮร์รี เคน ในช่วงหลังน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้เขาเป็นเพียงกองหน้าตัวเป้ารอจบสกอร์อย่างเดียว อย่างมากก็ลงมาล้วงบอลช่วยเพื่อนบ้างในบางจังหวะ แต่พักหลังนี่คือลงมาเล่นในแดนกลางเป็นตัวเก็บบอล ทำเกม และมีคิลเลอร์พาสสวย ๆ หลายครั้งด้วย
เมื่อเป็นแบบนั้น คล็อปป์ ก็ไม่รอช้า, แก้เกมด้วยการส่ง คอสตาส ซิมิคาส ลงมาแทน โรเบิร์ตสัน ที่เกมนี้เล่นไม่ค่อยออก และ ดิโอโก้ โชต้า แทน เฮนเดอร์สัน ปรัชญาของนายใหญ่ หงส์แดง ง่ายนิดเดียว คือถ้าอยากได้ประตูก็เพิ่มตัวรุกเข้าไป…เดี๋ยวมันก็มาเอง
แล้วประตูตีเสมอก็มาจนได้จาก หลุยส์ ดิอาซ ที่เกมนี้ครึ่งแรกเล่นเด่นมาก แต่ครึ่งหลังดูเหมือนจะหายไปจากเกมก่อนที่จะมายิงตีเสมอให้กับทีมแบบโชคช่วยเพราะบอลไปแฉลบขากองหลัง สเปอร์ส เปลี่ยนทางเสียบตาข่าย
หลังจากนั้นก็คงเดากันไม่ยาก ลิเวอร์พูล เปิดทุกหน้าเข้าใส่เพราะพวกเขาต้องการ 3 คะแนน แต่ต้องชมเกมรับและแท็คติกของ คอนเต้ ด้วยว่าทำได้ดีมาก ๆ ลูกโด่ง ลูกตั้งเตะ แทบทำอะไรพวกเขาไม่ได้เลย แถมการเจาะตรงกลางก็ยาก สุดท้ายก็เลยแบ่งกันไปคนละ 1 คะแนน
ถามว่าใครเสียหายมากกว่ากันระหว่าง ลิเวอร์พูล ที่กำลังลุ้นแชมป์กับ สเปอร์ส ที่ต้องการอันดับ 4 ก็ต้องบอกว่าเป็นฝั่งเจ้าบ้านที่ดูจะได้รับความชอกช้ำมากกว่า เพราะแม้พวกเขาจะขึ้นไปเป็นจ่าฝูงก็จริง แต่มีแต้มเท่ากับ แมนฯ ซิตี้ ที่จะลงเตะทีหลังแถมแข่งมากกว่าไปแล้ว 1 นัด, คือถ้า ซิตี้ เก็บ นิวคาสเซิล ได้ก็จะห่างออกไป 4 คะแนน ทุกอย่างก็แทบจบ
ด้าน ไก่เดือยทอง เองยังพอมีลุ้นกับการไปตัดกันเองกับ อาร์เซนอล ในเกมกลางสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ดังนั้น 1 คะแนนของพวกเขาจึงดีกว่าไม่ได้อะไรกลับไปเลย
หลังจบเกม เยอร์เก้น คล็อปป์ ยอมรับว่า แท็คติกที่คู่แข่งใช้ในวันนี้มันเวิร์คสำหรับพวกเขา การถ่วงเวลามันทำให้ทีมของเขาเล่นได้ไม่ง่ายแต่มันเป็นวิธีที่ฉลาด ซึ่งเขาไม่ชอบบอลแบบนี้เท่าไหร่ แต่ก็ยังชมทีมเยือนด้วยว่าพวกเขามีทั้งผู้เล่นและผู้จัดการทีมระดับเวิลด์คลาส การเจอกันแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะโปรแกรมที่ต้องลงเล่นทุก ๆ 3 วันนั่นอีก ในขณะที่ สเปอร์ส มีเวลาเตรียมทีมทั้งอาทิตย์เพื่อลงเล่นเกมนี้
และเมื่อพูดถึงเกมที่ แมนฯ ซิตี้ จะลงเล่นในคืนนี้ คล็อปป์ บอกว่าเขาอยากเห็น ซิตี้ ทำแต้มหล่นเหมือนกัน แต่ปัญหามันก็คือ เขามองไม่เห็นว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นได้เลย
ถามว่ามันมีความเป็นไปได้มั้ย?! ก็คงจะเป็นไปได้เพราะเกมยังไม่เตะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าให้พูดถึงความเป็นจริงคงเป็นเรื่องยากที่เราจะเห็นลูกทีมของ เป๊ป ทำหมูหกกับ นิวคาสเซิล
มองกันในแง่ดีการได้ขึ้นเป็นจ่าฝูงแบบนี้ก็ยังดีกว่า 14 แต้มที่โดนทิ้งห่างเมื่อช่วงเดือนมกราคม แถมยังนัดชิง 2 ถ้วยใหญ่รออยู่ การได้มาลุ้นถึงจุดนี้ถือว่าเป็นอะไรที่เหนือกว่าที่ทุกคนคาดไว้มาก ๆ
คล็อปป์ เองก็ยังให้สัมภาษณ์ว่า ต้องหยุดทำเหมือนกับนี่เป็นงานศพ เขาเคยเจออะไรแย่ ๆ มามากกว่านี้ ชนะ สเปอร์ส ได้ก็ใช่ว่าจะไปเก็บ แอสตัน วิลลา ในเกมต่อไปได้ ทุกคนต้องกลับมาเตรียมตัว ยังมีเกมหน้าที่ต้องเล่น ต้องเตรียมตัวให้พร้อม และเขาจะรู้สึกแย่มากกว่าถ้าเกิด แมนฯ ซิตี้ พลาดพ่ายแพ้ขึ้นมา แต่เราไม่สามารถคว้าโอกาสเอาไว้ได้
ดังนั้น 1 คะแนนในเกมนี้นั้นหาใช่วันโลกแตกไม่ แต่มันเป็นวันที่เตือนเราว่าไม่มีอะไรเพอร์เฟ็ค แค่ต้องยอมรับและเดินหน้าต่อไป