ลิเวอร์พูล มีคิวออกไปเยือนถิ่น คราเวน ค็อทเทจ ของ ฟูแลม โดยจะลงเล่นเป็นคู่เปิดรายการพรีเมียร์ลีกในวันเสาร์นี้ เวลาประมาณ 18.30 น. ตามเวลาในบ้านเรา ประเด็นที่น่าสนใจคือ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะจัดทีมอย่างไรในการประเดิมเกมแรกเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย
ถ้าให้เดาก็เชื่อว่านายใหญ่ชาวเยอรมันจะเปิดหัวด้วยแผน 4-3-3 ตามแบบฉบับของตัวเอง โดย 11 ผู้เล่นตัวจริงก็น่าจะไม่หนีไปจากเกม คอมมูนิตี้ ชิลด์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผู้รักษาประตูคงต้องลุ้นว่า อลิสซอน จะกลับมาลงเล่นได้หรือไม่ หากไม่ทันก็คงใช้งาน อาเดรียน ตามเดิม กองหลังก็ยืนพื้นด้วยแบ็คโฟร์อย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, เวอร์จิล ฟาน ไดค์, โจเอล มาติป และ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แดนกลางใช้ 3 ประสานอย่าง ติอาโก้ อัลคันทารา, ฟาบินโญ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
ส่วนแนวรุกเมื่อไม่มี ซาดิโอ มาเน แล้วประกอบกับ ดิโอโก้ โชต้า ยังได้รับบาดเจ็บก็จะเป็นหน้าที่ของ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน ที่ลงมาเล่นเป็นกองหน้าตัวกลางพร้อมขนาบข้างด้วย หลุยส์ ดิอาซ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โดยเชื่อว่าเกมนี้ คล็อปป์ จะให้ ดาร์วิน นูนเญซ รอโอกาสอยู่ข้างสนามไปก่อน
ลิเวอร์พูล ชุดนี้ค่อนข้างจะลงตัวทั้งเรื่องของคุณภาพนักเตะ รูปแบบ และแท็คติกการเล่น พวกเขาพร้อมที่จะไล่เพรสซิงและบดบี้คู่ต่อสู้ตลอด 90 นาที โดยเฉพาะการได้เจอกับน้องใหม่แต่หน้าเก่าอย่าง ฟูแลม ซึ่งไม่ได้มีศักยภาพในเกมรุกที่มากพอจะสร้างความระคายเคืองให้กับรองแชมป์เมื่อปีที่แล้วได้ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือการตั้งรับลึกและรอสวนกลับตามแบบฉบับมวยรอง
นั่นหมายความว่าลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะกลับมาเจอกับแท็คติกเกมรับที่เรียกว่า Park the bus อีกครั้งในฤดูกาลนี้ ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่พวกเขาคุ้นชินดีอยู่แล้ว เหลือเพียงการหาจังหวะจบสกอร์ที่เด็ดขาดเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ให้ได้เท่านั้น
เมื่อพูดถึงการเข้าทำของทีม หงส์แดง จะว่าไปนี่คือจุดที่พวกเขาพยายามจะปรับปรุงอยู่ทุกซีซัน รูปเกมโดยรวมนั้นถือว่าแข็งแกร่ง ดุดัน และน่าเกรงขาม หากแต่เมื่อถึงหน้าปากประตูพวกเขามักไม่สามารถปิดฉากด้วยการส่งบอลตุงตาข่ายได้ ซึ่งการเจอกับทีมในระดับที่ต่ำกว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ลำบากใจมากนัก ลิเวอร์พูล ไม่ค่อยพลาดท่าซักเท่าไหร่ หากแต่เมื่อเจอกับคู่แข่งที่วรรณะพอ ๆ กันก็ต้องลุ้นหนักอยู่มิใช่น้อย
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ไม่มีใครปฏิเสธว่าลูกทีมของ คล็อปป์ นั้นเล่นดีกว่า เรอัล มาดริด พวกเขาสร้างโอกาสได้มากมายแต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นสกอร์ได้ เหตุผลหนึ่งคือความเหนียวหนึบของ ติโบ กูร์ตัวส์ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือความแตกต่างในเรื่องของความเฉียบคมในการจบสกอร์
เกมแบบนี้ขอแค่ประตูเดียวก็สามารถตัดสินทุกอย่างได้ และ คาร์โล อันเชล็อตติ ก็ทำให้เห็นแล้วว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องเล่นดี แต่ถ้าสามารถยิงประตูได้และโชคเข้าข้าง พวกเขาก็จะกลายเป็นแชมป์
หลายคนมองว่า มาดริด อาจจะโชคดีที่ กูร์ตัวส์ ผีเข้า แต่อย่าลืมว่าพวกเขามีมาตรฐานของตัวเอง มีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว ไม่ใช่ทุกทีมจะทำได้แบบนี้
เมื่อ เยอร์เก้น คล็อปป์ เจอกับโจทย์ที่ต้องแก้ เขาจึงดำเนินการดึง ดาร์วิน นูนเญซ ที่มีจุดเด่นเรื่องการเล่นในกรอบ 6 หลาได้ดีและยิงประตูได้เฉียบคมข้ามาเสริมทัพ ในขณะที่ปล่อย มาเน ให้ย้ายออกไป ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเกมรุกที่น่าจับตามอง
นูนเญซ พิสูจน์ตัวเองได้ในระดับหนึ่งในเกม คอมมูนิตี้ ชิลด์ กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขาอยู่ในกรอบเขตโทษและสร้างความอันตรายให้กับเซ็นเตอร์ของฝั่งตรงข้าม ซึ่ง ลิเวอร์พูล ไม่เคยมีอะไรแบบนี้ พวกเขาใช้การพาบอลเข้าหาคู่ต่อสู้ บุกจากริมเส้น แต่ไม่เคยมีหน้าเป้าไปยืนค้ำในเขตประตู นี่คือมิติใหม่ที่เราจะได้เห็นในฤดูกาลนี้
นอกจากนั้นการได้ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ ที่เชื่อว่าจะมีชื่อเป็นตัวสำรองในการกลับมาเยือนทีมเก่า ก็ถือเป็นตัวเลือกที่จะช่วยให้เกมรุกของทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์หลากหลายขึ้น
ในระบบ 4-3-3 ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่มีพื้นที่สำหรับตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์หมายเลข 10 แต่เมื่อได้ คาร์วัลโญ เข้ามา เชื่อว่าการเปลี่ยนไปเล่น 4-2-3-1 จะเกิดขึ้นในบางสถานการณ์หรือบางเกม ยิ่งมี นูนเญซ อยู่ในสนามด้วยแล้วจะทำให้รูปแบบนี้ทรงประสิทธิภาพมากขึ้นหลายเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม, เกมกับ ฟูแลม เราอาจจะยังไม่ได้เห็นการใช้แผนนี้อย่างเต็มที่ คล็อปป์ จะยังคงเริ่มต้นด้วย 4-3-3 และน่าจะตามมาด้วย 4-2-3-1 ในช่วงครึ่งหลังหรือท้ายเกม ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นสกอร์ออกมาเป็นอย่างไร
ดังนั้นการเติม 2 แนวรุกอย่าง นูนเญซ และ คาร์วัลโญ พิสูจน์ให้เราได้เห็นว่า คล็อปป์ ไม่ได้ต้องการแค่การเพิ่มประสิทธิภาพในการจบสกอร์เท่านั้น แต่เขามองไปถึงการเพิ่มรูปแบบการเข้าทำที่หลากหลายขึ้น หลังจากที่ใช้แผนเดิมมาตลอด 4-5 ปีหลังและดูเหมือนจะเริ่มถูกจับทางได้
ลิเวอร์พูล ในซีซันนี้กำลังจะยกระดับเกมรุกของตัวเองขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งต้องรอดูว่ามันจะเวิร์คขนาดไหน…