ถ้าถามว่า ลิเวอร์พูล ยังมีสิทธิ์ลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ปีนี้อยู่มั้ย?…
ขอตอบตามตรงแบบไม่เอียงเลยว่า มี!
เมื่อคืนก่อน อาร์เซนอล พลาดท่าแพ้นัดแรกให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปแล้ว และก็ดูเหมือนว่าพวกเขายังมีจุดอ่อนอยู่เยอะ แม้เล่นเกมรุกดี แต่ด้วยความเป็นทีมวัยรุ่น ความรัดกุมจึงยังมีน้อยตามสไตล์
ส่วน แมนยู นั้น แม้จะกลับมาฟอร์มดี แต่ต้องดูในระยะยาว เพราะพวกเขาเคยเป็นแบบนี้มาแล้วตอนที่ โซลชา เข้ามารับงานคุมทีมชั่วคราว ชนะติด ๆ กัน 10 กว่านัดก่อนจะเสมอและแพ้ จากนั้นก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ วน ‘ลูปนรก’ เรื่อยมา
แน่นอนว่าสไตล์การทำทีมของ เอริค เทน ฮาก นั้นแตกต่างออกไป เล่นบอลดุดัน วิ่งเพรส โต้กลับดี ซึ่งช่วงนี้อาจจะจับทางยาก แต่ถ้าผ่านไปซักระยะทีมต่าง ๆ ก็เริ่มจะรู้แนวและพยายามหยุดยั้งเกมของพวกเขา เหมือนที่ ลิเวอร์พูล, แมนซิตี้ เจอมาตลอดช่วง 2-3 ปีหลัง
เมื่อถึงตอนนั้น ปีศาจแดง จะได้เจอกับบททดสอบที่แท้จริง…
ส่วน หงส์แดง เองที่บอกว่ายังมีลุ้นแชมป์เพราะตอนนี้คะแนนยังไม่ห่างจากอันดับ 1 มาก พวกเขามี 9 คะแนนจากการชนะ 2 เสมอ 3 และแพ้ 1 ห่างจากจ่าฝูงอย่าง อาร์เซนอล ที่มี 15 คะแนนแค่ 6 แต้ม ซึ่งฤดูกาลนี้เหลือเกมให้เล่นอีกถึง 32 นัดและยังมีปัจจัยอะไรต่าง ๆ อีกมากมายที่แต่ละทีมต้องเจอตลอดทั้งฤดูกาล
ผ่านไปซัก 7-8 เกมอาจจะรู้ทิศทางของแต่ละทีม แต่มันก็ใช่ว่าจะชี้ชัดได้เพราะบางทีเกมมาพลิกเอาช่วงท้ายฤดูกาลก็มี
อย่าง 2 ปีที่แล้ว ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทดี เก็บชัยชนะได้เรื่อย ๆ เกาะกลุ่มหัวตาราง แม้ในเดือนตุลาคมที่ ฟาน ไดค์ จะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังประคองกันมาได้จนปีใหม่ แต่พอ มาติป กับ โกเมซ เจ็บพร้อม ๆ กัน ผลงานก็ตกฮวบลงอย่างน่าใจหาย กว่าจะกลับมาคว้าพื้นที่ UCL ได้ก็ช่วงท้ายฤดูกาล
หรือดูอย่าง แมนฯ ซิตี้ เมื่อซีซันที่แล้ว ที่แพ้ตั้งแต่นัดเปิดฤดูกาลให้กับ สเปอร์ส ของ นูโน อัสปิริโต้ ซานโต้ แถมยังโดน คริสตัล พาเลซ บุกมาชนะถึงถิ่น แต่ 2-3 เดือนต่อมาพวกเขาก็เข้าที่แล้วก็โกยแต้มหนีคู่แข่งคว้าแชมป์แบบรวดเดียวจบ
หรือถ้ายังเห็นภาพไม่ชัด ก็ดูตัวอย่างจาก ลิเวอร์พูล เองนี่แหละ ซีซันที่แล้วพวกเขาตามหลัง แมนฯ ซิตี้ ถึง 14 คะแนนในช่วงปีใหม่ ก่อนที่จะโกยแต้มไล่จี้จนต้องมาลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก กันในนัดสุดท้าย ซึ่งก็แพ้ไปเพียงแต้มเดียว
ฤดูกาลนี้มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น…
การที่ ลิเวอร์พูล ออกตัวได้ย่ำแย่แบบนี้ มองในแง่ดีคือพวกเขายังมีเวลาอีกเยอะในการปรับทีม โดยเฉพาะแดนหน้าถ้าได้เล่นด้วยกันอีก 2-3 นัดก็น่าจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น พัฒนาการของ นูนเญซ ในการเรียนรู้วิธีการเล่นกับเพื่อนร่วมทีมหยุดชะงักไปเพราะโทษแบน 3 เกมที่ผ่านมา แต่จากนี้เขาจะได้ซึมซับมันอย่างเต็มที่ ส่วนแดนกลางที่ล้มหมอนนอนเสื่อกันอยู่ก็กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตาไม่เกินเดือนกันยายนนี้
แม้ว่าฟอร์มล่าสุดอาจจะไม่สวยหรู แต่อย่าลืมว่ามันคือ เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ ศึกแห่งศักดิ์ศรี เอฟเวอร์ตัน ไม่ยอมให้บุกมาเก็บ 3 แต้มได้ง่าย ๆ พวกเขาจึงสู้กันยิบตาและสร้างความยากลำบากให้กับทีมเยือน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
คนนอกมองว่าเกมนี้สุดมันส์ ทั้งสองทีมแลกหมัดกันตลอดเวลา แต่เด็กหงส์คาดหวังเอาไว้มากกว่านั้น มันจึงทำให้พวกเขารู้สึกว่าฟอร์มการเล่นไม่เหมือนเดิม เสียงบ่นและถอดใจจึงตามมา จากที่เคยลุ้น 4 แชมป์เมื่อฤดูกาลก่อนกลายเป็นขอเพียงติดท็อปโฟร์ก็พอใจแล้ว
อย่างไรก็ดี เดอะค็อป ก็ต้องไม่ลืมอีกว่าปีนี้ทีมมีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร โดยเฉพาะในแผงเกมรุก แน่นอนว่าการไร้ ซาดิโอ มาเน อาจทำให้ทีมลดความอันตรายลงไปแต่ก็ต้องให้เวลา ดาร์วิน นูนเญซ และ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ อีกซักหน่อยเพื่อการปรับตัวเข้ากับทีม รวมทั้งแนวทางการเล่นใหม่ ๆ ของ เยอร์เก้น คล็อปป์
เช่นเดียวกับมุมมองของ แกรี เนวิลล์ ที่เชื่อว่าแม้ว่าผลงานของ ลิเวอร์พูล ใน 6 นัดแรกอาจจะไม่เข้าตาซักเท่าไหร่ แต่เขายังเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ที่จะตัดชื่อพวกเขาออกจากการลุ้นแชมป์ในปีนี้
“พวกคุณคิดอะไรกันอยู่ถึงจะตัดชื่อของ ลิเวอร์พูล ออกจากการลุ้นท็อปโฟร์ในฤดูกาลนี้ คุณดูแค่ผลงานของพวกเขาในตอนนี้เนี่ยนะ!”
“แน่นอน สำหรับผมแล้วทีมอย่าง แมนฯ ซิตี้, ลิเวอร์พูล แลพ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ จะสามารถจบ 3 อันดับแรกของตารางได้ จากนั้นอันดับ 4 จะเป็นการแย่งชิงกันระหว่าง เชลซี, อาร์เซนอล, และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด“
“คุณคิดว่า ลิเวอร์พูล จะทำผลงานได้ไม่ดีเพราะแค่สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้น่ะเหรอ คุณบ้าไปแล้ว”
“แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังเล่นได้ดีอยู่ก็จริง แต่พวกเขาไม่มีประสบการณ์ ผมยังคิดว่าทีมเก่าของผมจะต้องดิ้นรนเพื่อลุ้นท็อปโฟร์ และโดยส่วนตัวแล้วมองว่า ลิเวอร์พูล, แมนน ซิตี้ และ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ คือท็อปทรีของฤดูกาลนี้”
หากมองในภาพรวมองค์ประกอบที่มีอยู่ในมือของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ถือว่าแย่ ขอเพียงแค่เวลาให้พวกเขาได้ปรับจูนและตัวหลักกลับมาแบบครบ ๆ
ถึงตอนนั้นถ้าผลงานยังไม่ดี จะด่าจะว่าก็คงไม่มีใครไปห้ามได้