ผลเสมอกับ เอฟเวอร์ตัน เมื่อวานนี้ทำเอาแฟนบอลหลายคนหัวร้อนไปตาม ๆ กัน ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะช่วงหลังฟอร์มของ ลิเวอร์พูล กระท่อนกระแท่นเหลือเกิน
อย่าลืมว่า แม้พวกเขาจะเก็บชัยชนะมา 2 เกมรวดก่อนหน้าด้วยการเอาชนะ บอร์นมัธ และ นิวคาสเซิล แต่กับการเจอ เอฟเวอร์ตัน ใน เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ มันเป็นอะไรที่แตกต่างออกไปมาก
แน่นอนว่า เดอะท็อฟฟี ในเวลานี้อาจเป็นทีมลุ้นแค่ทำอันดับกลางตารางค่อนไปทางหนีตกชั้น พวกเขากำลังอยู่ในช่วงของการสร้างทีมใหม่ภายใต้การทำงานของ แฟรงค์ แลมพาร์ด อาจจะยังไม่เข้าที่เข้าทางแถมเสียนักเตะตัวหลักอย่าง ริชาร์ลิซอน ไปให้ สเปอร์ส อีก
แต่เมื่อ เอฟเวอร์ตัน มาเจอกับ ลิเวอร์พูล ทุกครั้งมันต้องเป็นเกมที่เต็มไปด้วยความดุเดือดและดรามา แถมการเจอกันหนนี้ทั้ง 2 ทีมก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์, หงส์แดง นั้นปัญหามากมายโดยเฉพาะเรื่องตัวผู้เล่นที่ได้รับบาดเจ็บ แม้ชื่อชั้นจะยังเหนือกว่า
เกมนี้ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังเล่นบอลทรงเดิม แต่ทางเจ้าบ้านดูมุ่งมั่นและฮึกเหิมมากกว่าด้วยการใช้เกมเพรสซิงเข้าบดบี้ ทำเอาทีมเยือนเล่นลำบาก แต่ก็มีโอกาสยิงประตูอยู่เรื่อย ๆ
ต้องยอมรับด้วยว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ เอฟเวอร์ตัน ยันเก็บ 1 คะแนนได้ต้องยกให้ จอร์แดน พิคฟอร์ด ที่ผีเข้าสมกับเป็นมือหนึ่งทีมชาติอังกฤษโชว์เซฟสวย ๆ ไป 2-3 ครั้ง และเกมนี้ทำสถิติเซฟไป 8 ครั้ง
ด้าน ลิเวอร์พูล ก็ยังไม่คมเหมือนเดิม พวกเขาได้โอกาสถึง 15 ครั้ง ยิงตรงกรอบ 8 ครั้ง นอกกรอบ 7 ครั้ง ไม่มีประตู
ถ้าจะมองแง่ดี ก็ตรงที่ หงส์แดง สามารถเก็บคลีนชีตได้อีกครั้ง อลิสซอน ต้องออกแรงอยู่เรื่อย ๆ ก็ยังคงไว้ใจได้เหมือนเดิม แต่ตำแหน่งอื่น ๆ ยังมีปัญหาให้ต้องขบคิด
ตั้งแต่ไลน์อัพ 11 ตัวจริงที่ คล็อปป์ ตัดสินใจส่งทั้ง ดาร์วิน นูนเญซ และ คาร์วัลโญ ลงสนามซึ่งมีคำถามว่าเร็วเกินไปหรือเปล่า เพราะต้องยอมรับว่าในแดนหน้า โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน นั้นฟอร์มดีมาตลอดในช่วงหลัง ทำประตูได้ต่อเนื่อง แต่กลับต้องนั่งเป็นสำรองในเกมที่มีแนวโน้มว่าความเข้มข้นจะเกินขีดจำกัดแบบนี้
นั่นจึงทำให้กองหน้าอุรุกวัยโดนวิจารณ์อีกครั้งจากการพลาดโอกาสหลายหน จนหลายคนยังตั้งข้อสงสัยในฝีเท้า แต่ถ้าจะเผื่อใจมองว่าเจ้าตัวเพิ่งกลับมาลงสนามหลังติดโทษแบน ในขณะเดียวกันที่ผ่านมาก็ยังอยู่ในช่วงปรับตัว ดังนั้นจึงยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก
ในรายของ คาร์วัลโญ นั้นพอเข้าใจได้ว่าตัวที่เหลืออยู่ไม่สมบูรณ์พอ ทำให้ไม่มีทางเลือกมากนัก
เข้าใจได้ว่าการที่นายใหญ่ชาวเยอรมันส่งแข้งอายุน้อยเหล่านี้ลงสนามเพราะต้องการความสดเข้าบดบี้ และทำลายเกมรับของคู่แข่ง แต่ในมุมกลับกันกลายเป็นว่ามันทำให้เกมไม่ไหลลื่น จนต้องส่ง บ็อบบี้ ลงสนามในครึ่งหลัง สภาพจึงดูดีขึ้นมาหน่อย
จุดที่น่าสนใจอีกเรื่องก็คือการเปลี่ยน 2 ฟูลแบ็คออกจากสนาม เริ่มมีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ว่าการที่เกมของ ลิเวอร์พูล ไม่น่ากลัวเหมือนเดิมอาจเป็นเพราะแบ็คซ้าย-ขวาของพวกเขาอยู่ในช่วงฟอร์มดร็อป เทรนท์ นั้นขึ้น ๆ ลง ๆ มาตั้งแต่เปิดฤดูกาล ส่วนด้านซ้าย ร็อบโบ้ ก็ดูเหมือนยังไม่ใช่คนเดิม ซิมิคาส ยังไม่มีทีเด็ดมากพอ
นี่คือปัญหายิบย่อยที่เกิดขึ้นในเกมนี้ แต่ถ้าเรามองลึกกว่านั้นจะเห็นว่าเรื่องของฟอร์มการเล่นเป็นอะไรที่น่าเป็นห่วงไม่น้อย
ผ่านมา 6 นัด มีเพียงเกมกับ บอร์นมัธ ที่ ลิเวอร์พูล เล่นแบบเหนือชั้นกว่าทุกอย่าง นอกนั้นพวกเขาต้องกระเสือกกระสนทั้งสิ้น
เริ่มมีการตั้งข้อสังเกตว่า “เกเก้นเพรสซิง” ของพวกเขากำลังเปลี่ยนไป บอลของ คล็อปป์ ไม่ดุดัน ไม่เพรสหนักเหมือนเดิม ระยะทางการวิ่งในแต่ละเกมน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
ลิเวอร์พูล ในตอนนี้ไม่เหมือนกับปีที่ลุ้น 4 แชมป์ใช่หรือไม่?
ผลเสมอกับ เอฟเวอร์ตัน อาจน่าพอใจในแง่ที่มันคือดาร์บี้แม็ตช์ แต่ถ้ามองภาพรวมน่าสงสัยว่าเมื่อไหร่ที่ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะกลับมาเข้าฟอร์มกันซักที
คงต้องรอตัวเจ็บกลับมาแบบครบ ๆ ตอนนั้นเราก็คงเริ่มมองเห็นภาพชัดขึ้น…