หากนับเฉพาะบรรดาทีมระดับท็อป 6 ปัจจุบันเหลือเพียง ลิเวอร์พูล และ เชลซี, 2 ทีมที่ยังมีความหวังที่จะคว้า “4 แชมป์” ในฤดูกาลนี้
4 แชมป์ หรือในภาษาอังกฤษเราเรียกว่า “Quadruple” ที่ทั้ง 2 ทีมยังมีลุ้นนั้นหมายถึง แชมป์พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ, ลีกคัพ และ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ตกรอบ คาราวบาวคัพ ไปแล้ว ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เพิ่งโดน มิดเดิลสโบรช์ เตะตกรอบในถ้วย เอฟเอคัพ ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ในขณะที่ อาร์เซนอล ไม่ได้เข้าไปเล่นในถ้วยยุโรปจึงไม่ถูกนับรวมไปโดยปริยาย
ประเด็น “4 แชมป์” นี้เป็นที่ถูกพูดถึงขึ้นมาในหมู่ “เดอะค็อป” หลังจากที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คาร์ดิฟ ซิตี้ มาได้ในถ้วย เอฟเอคัพ เมื่อวันอาทิตย์ แต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเม้ามอยเอาสนุกกันมากกว่า คงจะไม่มีใครกล้าฟันธงว่าพวกเขาจะอาจหาญเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอล อังกฤษที่ทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ
อันที่จริง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เคยทำได้มาแล้วเมื่อซีซัน 2018-2019 ที่พวกเขาเปิดหัวซีซันด้วยการเป็นแชมป์ คอมมูนิตี้ชิลด์ ตามมาด้วยแชมป์ ลีกคัพ, พรีเมียร์ลีก และ เอฟเอคัพ
หากแต่การเป็นแชมป์ถาดการกุศลนั้น แม้ว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา จะเคยพูดว่าไม่ว่าจะลงเล่นในรายการใด การคว้าถ้วยรางวัลคือสิ่งที่สำคัญที่สุดก็ตาม แต่คงไม่มีใครไปนับรวมเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อะไรทำนองนั้น
สาเหตุที่เรื่องการคว้า 4 แชมป์ ของ ลิเวอร์พูล ถูกพูดถึงกันในช่วงนี้ เป็นเพราะฟอร์มการเล่นและผลงานที่เกิดขึ้นในทุกรายการ และการเสริมทัพนักเตะใหม่ในช่วงตลาดซือขายหน้าหนาวอย่าง หลุยส์ ดิอาซ ด้วย
หากจำกันได้ตั้งแต่ที่เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทีม ฟุตบอล เอฟเอคัพ และ ลีกคัพ ไม่ใช่เป้าหมายสำคัญของเขาเลย ดูได้จากการส่งนักเตะตัวสำรองผสมกับพวกดาวรุ่งลงสนาม ผลงานดีสุดก็แค่ผ่านเขาถึงรอบรองชนะเลิศในถ้วย ลีกคัพ นอกนั้นไปได้ไกลสุดไม่เกิน 3 รอบ
นั่นเป็นเพราะว่าส่วนหนึ่ง ลิเวอร์พูล ไม่ได้มีขุมกำลังเชิงลึกที่แข็งแกร่งพอจะเอามาใช้งานเป็นหลักในฟุตบอลถ้วยเหมือนอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา
นโยบายของนายใหญ่ชาวเยอรมันคือการรักษานักเตะตัวหลักให้มีสภาพร่างกายที่ฟิตพร้อมจะลงเล่นใน 2 รายการสำคัญอย่าง พรีเมียร์ลีก และ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก เท่านั้น
แต่เมื่อมาถึงฤดูกาลนี้ดูเหมือนว่า คล็อปป์ จะมีสรรพกำลังและอาวุธในมือมากกว่าเดิมแถมมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้พวกเขาสามารถทำผลงานได้ดีในทุกรายการที่ลงสนาม
พรีเมียร์ลีก รั้งรองจ่าฝูง, เอฟเอคัพ ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย, คาราบาวคัพ กำลังจะเล่นนัดชิงชนะเลิศ และ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ผ่านรอบแบ่งกลุ่มทั้ง ๆ ที่อยู่ใน “กรุ๊ปออฟเดธ” แบบชนะรวด 6 นัด จึงไม่น่าแปลกใจที่การลุ้น 4 แชมป์จะได้รับการพูดถึงบ้างแล้วในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม, เมื่อมาดูเกมที่เหลืออยู่ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ยังไกลเกินจะคิดจริง ๆ
เพราะตอนนี้ ลิเวอร์พูล ตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่เอาเยอะพอสมควร พวกเขาคงต้องลุ้นอย่างหนักเพื่อที่จะให้ทีมของ เป๊ป พลาดบ้างในเกมที่เหลือ ในขณะที่ตัวเองก็ห้ามทำแต้มหล่นด้วย นั่นคืองานหนักหน่วง
ในขณะที่ถ้วย คาราบาวคัพ ดูจะใกล้มือที่สุด เหลืออีกเพียงเกมเดียวในการดวลกับ เชลซี เพื่อเป็นแชมป์บอลถ้วยในประเทศครั้งแรกของบอส หงส์แดง ส่วน เอฟเอคัพ เจอ นอริช ซิตี้ ซึ่งถือว่าเป็นงานง่ายในรอบต่อไป แต่ก็ยังเหลือบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ที่ขวางทางอยู่อีกเพียบเหมือนกัน
ปิดท้ายด้วย ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก พวกเขารอเล่นกับ อินเตอร์ มิลาน ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งก็ไม่ใช่งานหมู ๆ เพราะทีม เนรัซซูรี นั้นพกตำแหน่งจ่าฝูงของ กัลโช เซเรีย อา มาข่มด้วย
ปีนี้ ถ้าได้มาซักแชมป์ สองแชมป์ติดไม้ติดมือบ้าง เดอะค็อป ก็คงมีความสุขแล้ว